แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บิดาจำเลยได้ขายนาพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้โจทก์ทำหนังสือสัญญากันเองชำระราคากันแล้ว และบิดาจำเลยได้ส่งมอบนาพิพาทให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาในสัญญาซื้อขายนั้นมีข้อความว่า เมื่อผู้ขายต้องการจะไถ่ถอนนาคืน จะยอมคิดดอกเบี้ยให้ผู้ซื้อร้อยละ 10 บาทต่อเดือนอันเป็นข้อสัญญาที่ให้ไถ่ถอนนาคืนเช่นสัญญาขายฝาก
เมื่อไม่ได้ทำให้เป็นสัญญาขายฝากโดยถูกต้องจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยซึ่งเป็นบุตรของผู้ขายจะขอไถ่ถอนนาคืนโดยอาศัยสัญญานี้ไม่ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 352/2492)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของนาพิพาทโดยซื้อมาจากนายเขียน ภานุรักษ์ แล้วครอบครองทำประโยชน์ในฐานะเป็นเจ้าของ โดยสงบ เปิดเผยและสุจริตตลอดมา แต่นายเขียนถึงแก่กรรมเสียก่อน จึงยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์เพียงแต่ส่งมอบนาให้โจทก์ครอบครองและรับเงินค่าที่นาไป เมื่อนายเขียนถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยซึ่งเป็นบุตรนายเขียนจะเอาที่นาคืน โดยอ้างว่านายเขียนยังไม่ได้โอนให้โจทก์และหนังสือที่นายเขียนทำไว้กับโจทก์เป็นโมฆะ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่นาพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องและขอให้ถือคำพิพากษาที่สั่งแสดงกรรมสิทธิ์นี้เป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า นาพิพาทเป็นของนายเขียน ภานุรักษ์ บิดาจำเลยได้นำไปจำนำไว้กับนายดีบิดาโจทก์ เป็นเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท โดยไม่ได้กำหนดเวลาไถ่คืนไว้เป็นแต่มอบนาให้โจทก์เข้าทำ การที่โจทก์ครอบครองนาเป็นการครอบครองตามที่บิดาจำเลยมอบให้ครอบครอง จะอ้างว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ไม่ได้เมื่อบิดาจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยจึงไปขอไถ่นาพิพาท แต่โจทก์ไม่ยอมให้ไถ่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยร่วมกันเสียค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ๒๐๐ บาทแทนโจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความทั้งสองศาลให้เป็นพับไปทั้งสองฝ่าย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบประกอบสัญญาซื้อขายหมาย จ.๑ ว่า นายเขียน ภานุรักษ์ ได้ขายนาพิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่าให้โจทก์ โดยทำหนังสือสัญญากันเอง และชำระราคากันแล้วในวันทำสัญญา นายเขียน ภานุรักษ์ ได้ส่งมอบนาพิพาทให้โจทก์ครอบครองแต่วันทำสัญญานั้นเอง ไม่ใช่ครอบครองแทนนายเขียน ภานุรักษ์ ตามสัญญาดังกล่าวก็มีข้อความชัดว่านายเขียน ภานุรักษ์ขายที่นาให้โจทก์ในราคา ๑๘,๐๐๐ บาท และในสัญญาข้อ ๔ ก็ระบุไว้ว่าได้มอบนาพิพาทให้โจทก์ยึดเป็นกรรมสิทธิ์นับแต่วันที่รับเงินแต่ในสัญญาข้อ ๒ กล่าวไว้ว่า “ข้อ ๒ เมื่อข้าพเจ้าต้องการจะไถ่ถอนนาคืนจากท่านประการใด ข้าพเจ้าจะยอมคิดดอกเบี้ยให้ท่านร้อยละ๑๐ บาทต่อเดือน อันเป็นข้อสัญญาที่ให้ไถ่ถอนนาคืนเช่นสัญญาขายฝากเมื่อไม่ได้ทำให้เป็นสัญญาขายฝากโดยถูกต้อง จึงตกเป็นโมฆะ จำเลยซึ่งเป็นบุตรนายเขียน ภานุรักษ์ จะขอไถ่ถอนนาคืนโดยอาศัยสัญญานี้ไม่ได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๕๒/๒๔๙๒ นายคำ พรมสวาดิ์ ผู้ได้รับอำนาจจากนางทองพรม เพล้าวัธน์ โจทก์ นางบุญเรือง จำเลย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ฎีกาแก่โจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๒๕๐ บาท