แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 3 ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังมิได้กรอกข้อความแล้วมอบ ให้ผู้รับมอบอำนาจไปพร้อมทั้งโฉนดที่ดิน แสดงถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 อย่างมาก เป็นการยอมเสี่ยงภัยในเมื่อผู้รับมอบอำนาจนำหนังสือมอบอำนาจนั้นไปใช้ในกิจการอย่างอื่นโจทก์เชื่อถือหนังสือมอบอำนาจนั้นจึงได้ทำการรับจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต ได้เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 3 จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้ตนพ้นจากความรับผิดหาได้ไม่ สุจริตด้วยกันผู้ประมาทเลินเล่อย่อมเป็นผู้เสียเปรียบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำเลยที่ 2และที่ 3 ได้จำนองที่ดิน เป็นประกันหนี้ในวงเงิน 250,000 บาทและ 50,000 บาท ตามลำดับ ถ้าบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระหนี้ได้จำเลยที่ 1 ค้างชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยต่อโจทก์ 490,015.48 บาทโจทก์ทวงถาม ให้จำเลยทั้งสามชำระหนี้และมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ไถ่ถอนจำนอง จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 490,015.48 บาท แก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นจำนวนเงิน167,599.31 บาท และจำนวนเงิน 83,519.86 บาท และให้จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 3 รับผิดชำระดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปี ในต้นเงิน293,352.66 บาท 250,000 บาท และ 50,000 บาท ตามลำดับ นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ ถ้ายังไม่ครบให้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามจนครบ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบ และโจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ได้ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้นายกังวาล พลเสน น้องจำเลยที่ 1 ไปทำการจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ในวงเงิน 50,000 บาท มิได้มอบอำนาจให้จำนองโดยมีข้อสัญญาเพิ่มเติมว่า ถ้าผู้รับจำนองบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามที่ได้จำนองเป็นประกันไว้ตามสัญญาผู้จำนองตกลงให้ผู้รับจำนองยึดทรัพย์สินอื่นของผู้จำนองชำระหนี้จนครบถ้วน และจำเลยที่ 3 มิได้กรอกข้อความในหนังสือมอบอำนาจนั้นข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองตามที่ระบุไว้ในหนังสือมอบอำนาจนั้นจำเลยที่ 3 มิได้รู้เห็นยินยอม จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินให้โจทก์จำนวน 293,352.66 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในวงเงิน 250,000 บาท และ 50,000 บาทตามลำดับ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราและระยะเวลาเช่นเดียวกันกับที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ดังกล่าว ถ้าจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 56851 และโฉนดเลขที่ 16044 พร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ถ้ายังไม่ครบให้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามจนครบ
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 3 ลงชื่อในหนังสือมอบอำนาจซึ่งยังมิได้กรอกข้อความแล้วมอบให้ผู้รับมอบอำนาจไปพร้อมทั้งโฉนดที่ดินดังกล่าวแล้วนั้น เป็นการแสดงถึงความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 อย่างมาก เป็นการยอมเสี่ยงภัยในเมื่อผู้รับมอบอำนาจนำหนังสือมอบอำนาจนั้นไปใช้ในกิจการอย่างอื่น โจทก์เชื่อถือหนังสือมอบอำนาจนั้น เพราะนอกจากโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ 3 ซึ่งกรอกข้อความไว้เรียบร้อยแล้ว นายกังวาลผู้รับมอบอำนาจยังมีบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่ 3มาแสดงอีกด้วย โจทก์จึงได้ทำการรับจำนองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริต ได้เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิจำนองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 3 จะอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้ตนพ้นจากความรับผิดหาได้ไม่ สุจริตด้วยกันผู้ประมาทเลินเล่อย่อมเป็นผู้เสียเปรียบ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 353/2503 ระหว่างนายปลีก มีกิริยา โจทก์ ขุนสนิทเศรษฐการ จำเลย
พิพากษายืน