คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4746/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่า โจทก์และภรรยาได้รับดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองเลย คงอ้างแต่เพียงว่าเมื่อระบุว่าคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไว้ในสัญญาจำนอง ก็ต้องถือว่าโจทก์และภรรยาได้รับดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้นั้น พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ฟังได้ว่า โจทก์และภรรยาไม่ได้รับเงินดอกเบี้ยตามสัญญาจำนอง จึงไม่มีเงินได้พึงประเมินจากเงินดอกเบี้ย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินภาษีสรรพากรเขตพื้นที่ 7 ได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสรรพากรเขตพื้นที่ 7 ได้ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับระยะเวลาปี 2527 และ2528 จากโจทก์เป็นเงิน 48,348 บาท และ 50,160 บาท ตามลำดับเห็นว่าภรรยาโจทก์มีเงินได้เป็นดอกเบี้ยตามสัญญาจำนอง เพราะในสัญญาจำนองมีข้อความกำหนดเรื่องดอกเบี้ยไว้ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้าน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์โดยเห็นว่าการประเมินของเจ้าพนักงานถูกต้องแล้วและไม่มีเหตุอันควรผ่อนผันงดหรือลดเบี้ยปรับ โจทก์ได้นำเงินภาษี 118,398 บาท ไปชำระให้แก่จำเลยแล้ว ขอให้พิพากษาเพิกถอนการประเมินและให้จำเลยคืนเงินจำนวน 118,398 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ได้พิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และภรรยาโจทก์ผู้ให้กู้ยืมกับนางสาวสมปองผู้กู้ยืมแล้วเห็นว่า ภรรยาโจทก์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางสาวสมปองโดยบิดาของนางสาวสมปองเป็นพี่ชายของบิดาภรรยาโจทก์ บิดาของนางสาวสมปองเคยมีบุญคุณต่อโจทก์และภรรยา แม้จะได้ความตามทางนำสืบของโจทก์ว่า เงินจำนวน 400,000 บาท ที่โจทก์และภรรยาให้นางสาวสมปองกู้ไปนั้น บางส่วนโจทก์ถอนจากเงินฝากธนาคารของโจทก์และบางส่วนโจทก์ยืมมาจากเพื่อนโดยไม่เสียดอกเบี้ย ซึ่งการถอนเงินฝากของโจทก์จากธนาคารไปให้นางสาวสมปองกู้โดยไม่ให้ดอกเบี้ย จะทำให้โจทก์ขาดรายได้จากดอกเบี้ยเงินฝากก็ตาม แต่ก็อยู่ในวิสัยของผู้ที่มีความสำนึกในบุญคุณของผู้อื่นที่ได้เคยช่วยเหลือมา จะพึงเสียสละรายได้จากเงินฝากธนาคารส่วนนี้เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้นั้น ซึ่งมิใช่เป็นเรื่องผิดปกติแต่อย่างใด จากเหตุผลและพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวจึงเชื่อว่าโจทก์และภรรยามิได้คิดดอกเบี้ยเงินกู้จากนางสาวสมปอง ส่วนที่ระบุไว้ในสัญญาจำนองว่า ตกลงคิดดอกเบี้ยจากเงินกู้ร้อยละ 15 ต่อปีนั้นก็ได้ความจากคำเบิกความของนางสาวสมปองว่า วันทำสัญญาจำนองภรรยาโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองไม่ได้ไปสำนักงานที่ดินเอง แต่ได้มอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปแทน เมื่อพยานไปถึงสำนักงานที่ดินผู้รับมอบอำนาจเป็นคนเดินเรื่องทั้งหมด พยานเพียงแต่เซ็นชื่อในเอกสารเท่านั้น โดยพยานไม่ทราบข้อความเกี่ยวกับดอกเบี้ยดังกล่าวแต่อย่างใด ซึ่งคำเบิกความของนางสาวสมปองดังกล่าวมีเหตุผลรับฟังได้เพราะในสัญญาจำนองเป็นแบบพิมพ์ซึ่งมีช่องให้กรอกอัตราดอกเบี้ยไว้ด้วย ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์จึงอาจแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ทำสัญญาให้กรอกอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายลงไปโดยที่คู่สัญญาไม่ทราบมาก่อนก็ได้ ฝ่ายจำเลยไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบให้เห็นว่า โจทก์และภรรยาได้รับดอกเบี้ยตามสัญญาจำนองแต่อย่างใด คงอ้างแต่เพียงว่าเมื่อระบุว่าคิดดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีไว้ ในสัญญาจำนอง ก็ต้องถือว่าโจทก์และภรรยาได้รับดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้นั้น พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์และภรรยาไม่ได้รับเงินดอกเบี้ยจากนางสาวสมปองดังที่ระบุในสัญญาจำนอง โจทก์จึงไม่มีเงินได้พึงประเมินจากเงินดอกเบี้ยดังกล่าว คำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน ให้จำเลยคืนเงิน 118,398 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์.

Share