คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4235/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์นำรังวัดเข้าไปในโฉนดที่ดินของจำเลย จำเลยมีสิทธิที่จะคัดค้านได้ ไม่เป็นการกระทำละเมิดอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เพราะจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์มิได้กล่าวในคำฟ้อง จึงเป็นการพิพากษาให้โจทก์ได้ค่าเสียหายเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 30494 จำเลยทั้งสองได้ขออาศัยปลูกบ้านบนที่ดินดังกล่าวเป็นเนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา เมื่อโจทก์จะทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนด จำเลยทั้งสองกลับคัดค้านว่าที่ดินที่ปลูกบ้านไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ ขอให้พิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านไปกับเรียกค่าเสียหาย

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยปลูกบ้านในที่ดินของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 1695 ไม่เคยอาศัยอยู่ในที่ดินตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบที่ดินตามขอบเส้นสีน้ำเงินซึ่งยกเว้นที่ดินตามขอบเส้นสีเขียวในแผ่นที่พิพาทคืนแก่โจทก์และร่วมกันใช้ค่าเสียหาย 5,000 บาทแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์เป็นค่าเสียหายที่จำเลยได้ครอบครองที่ดินของจำเลยซึ่งโจทก์มิได้ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายส่วนนี้โจทก์จึงไม่ควรได้รับพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาเรื่องค่าเสียหายว่าโจทก์ควรได้รับค่าเสียหายเต็มตามฟ้องเป็นเงิน 40,000 บาท เพราะเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน 5,000 บาทนั้น จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แม้จำเลยจะแก้อุทธรณ์ก็ตามศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ทั้งโจทก์นำสืบว่าที่พิพาทขายได้ตารางวาละ 500 บาท จำเลยมิได้สืบแก้จึงต้องชำระค่าเสียหายตามฟ้อง เห็นว่าตามฟ้องโจทก์และคำขอท้ายฟ้องระบุชัดเจนว่า เมื่อโจทก์จะทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์เพื่อขายให้แก่ผู้มีชื่อ จำเลยทั้งสองคัดค้านว่าที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่นั้นไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินไม่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจขายที่ดินได้ในราคา 40,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายคิดเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 40,000 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์ ดังนั้น ประเด็นในเรื่องค่าเสียหายจึงต้องพิจารณาตามข้ออ้างของโจทก์ว่าจำเลยมีสิทธิที่จะคัดค้านการขอรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินของโจทก์หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์นำรังวัดเข้าไปในโฉนดที่ดินของจำเลยจำเลยก็มีสิทธิที่จะคัดค้านได้ ไม่เป็นการทำละเมิดอันจะต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 5,000 บาท เพราะจำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามขอบเส้นสีน้ำเงินซึ่งยกเว้นที่ดินตามขอบเส้นสีเขียวในแผนที่พิพาทนั้น จึงเป็นการพิพากษาให้โจทก์ได้ค่าเสียหายเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก แม้จำเลยจะมิได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อนี้ก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ฉะนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์ ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยในผล

พิพากษายืน

Share