แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีก่อน โจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นคู่ความรายเดียวกัน โดยจำเลยทั้งสามเป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ในคดีดังกล่าวโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดผลประโยชน์ 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนกลาง มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการในฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนกลาง การขอเช่า ขอเลิกเช่าการโอนสิทธิการเช่า การขอรับเช่าสืบแทน ที่ดินและอาคารศาสนสมบัติกลางของวัดร้างและวัดมีพระสงฆ์ในส่วนกลาง คือกรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงบางจังหวัด จำเลยที่ 2ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดผลประโยชน์ 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนภูมิภาค มีหน้าที่ปฏิบัติและรับผิดชอบงานเกี่ยวกับการควบคุมการปฏิบัติราชการในฝ่ายให้เป็นไปด้วยดี ทำความเห็นเกี่ยวกับงานจัดประโยชน์ศาสนาสมบัติกลางของวัดร้างและวัดที่มีพระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเสนอผู้อำนวยการสำนักงานศาสนสมบัติเพื่อวินิจฉัยสั่งการจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ 1 ฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนภูมิภาคมีหน้าที่รับผิดชอบในการจ่ายใบเสร็จรับเงินของโจทก์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2527 พ. ได้ขอเบิกใบเสร็จรับเงินจำนวน 5 เล่ม จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้อนุมัติด้วยวาจาให้จำเลยที่ 3 จ่ายใบเสร็จรับเงินให้ พ. เป็นการฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9 เป็นผลให้พ. ไม่นำใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไปลงทะเบียนแต่ได้นำไปปลอมลายมือชื่อออกให้แก่ผู้เช่า แล้ว พ.นำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตนจำนวน 300,274.57 บาท จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยคดีดังกล่าวศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดมีใจความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อนุมัติด้วยวาจาให้จำเลยที่ 3 จ่ายใบเสร็จรับเงิน 5 เล่ม ให้แก่ พ. โดยฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9 เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในคดีดังกล่าวเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในคดีนี้ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำการอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ โดยเมื่อวันที่7 กันยายน 2527 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันอนุมัติด้วยวาจาให้จำเลย ที่ 4 จ่ายใบเสร็จรับเงินให้แก่จำเลยที่ 1อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9ข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาคดีนี้ของโจทก์จึงอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 813/2535 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงเป็นฟ้องซ้ำ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน185,741.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในเงินจำนวน 103,612.96 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินให้โจทก์จำนวน 185,741.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เฉพาะจำเลยที่ 3 ให้ชดใช้เงินจำนวน 103,612.96 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 4
โจทก์และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า สำหรับจำเลยที่ 1คดีเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1กระทำการอันเป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ และจะต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์เพียงใดจำเลยที่ 4 โต้แย้งเป็นประเด็นมาในคำแก้ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 813/2535 ของศาลชั้นต้น ซึ่งคดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นจำเลยว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันกระทำการอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะมิได้โต้แย้งเกี่ยวกับอำนาจฟ้องข้อนี้มาในคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 2และที่ 3 แต่ปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องที่ว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยและเห็นว่าในคดีหมายเลขแดงที่ 813/2535 ของศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นคู่ความรายเดียวกัน โดยจำเลยทั้งสามเป็นจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในคดีดังกล่าวโจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดผลประโยชน์ 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนกลาง มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติราชการในฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนกลาง การขอเช่า ขอเลิกเช่า การโอนสิทธิการเช่า การขอรับเช่าสืบแทน ที่ดินและอาคารศาสนสมบัติกลางของวัดร้างและวัดมีพระสงฆ์ในส่วนกลาง คือ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดใกล้เคียงบางจังหวัด จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่จัดผลประโยชน์ 7 ทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนภูมิภาค มีหน้าที่ปฏิบัติและรับผิดชอบงานเกี่ยวกับการควบคุมการปฏิบัติราชการในฝ่ายให้เป็นไปด้วยดี ทำความเห็นเกี่ยวกับงานจัดประโยชน์ศาสนสมบัติกลางของวัดร้างและวัดที่มีพระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรเสนอผู้อำนวยการสำนักงานศาสนสมบัติเพื่อวินิจฉัยสั่งการจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ 1ฝ่ายจัดการศาสนสมบัติส่วนภูมิภาคมีหน้าที่รับผิดชอบในการจ่ายใบเสร็จรับเงินของโจทก์ เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2527นายพูนศักดิ์ อาจเอื้อม ได้ขอเบิกใบเสร็จรับเงินจำนวน 5 เล่มจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้อนุมัติด้วยวาจาให้จำเลยที่ 3 จ่ายใบเสร็จรับเงินให้นายพูนศักดิ์เป็นการฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9 เป็นผลให้นายพูนศักดิ์ไม่นำใบเสร็จรับเงินดังกล่าวไปลงทะเบียน แต่ได้นำไปปลอมลายมือชื่อออกให้แก่ผู้เช่า แล้วนายพูนศักดิ์นำเงินไปใช้ประโยชน์ส่วนตนจำนวน300,274.57 บาท จำเลยทั้งสามจะต้องรับผิดต่อโจทก์ โดยคดีดังกล่าว ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดมีใจความว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้อนุมัติด้วยวาจาให้จำเลยที่ 3 จ่ายใบเสร็จรับเงิน 5 เล่ม ให้แก่นายพูนศักดิ์โดยฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ในคดีดังกล่าวเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ในคดีนี้ การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ร่วมกับจำเลยที่ 1กระทำการอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ โดยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2527จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกันอนุมัติด้วยวาจาให้จำเลยที่ 4จ่ายใบเสร็จรับเงินให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบว่าด้วยการรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520หมวด 1 ส่วนที่ 1 ข้อ 9 ข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาคดีนี้ของโจทก์จึงอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 813/2535 ของศาลชั้นต้นซึ่งคดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9349/2538 ฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จึงเป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 วรรคหนึ่งคดีไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีก
พิพากษายืน