คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4740/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องเป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนกรรมสิทธิ์แล้วใส่ชื่อโจทก์แทน ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และได้ขอให้ศาลยึดที่ดินตามฟ้องไว้แล้ว เมื่อโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวมิได้ใช้สิทธิร้องขัดทรัพย์ในคดีดังกล่าว ผู้ร้องย่อมดำเนินการบังคับคดีของตนต่อไปได้ ไม่มีความจำเป็นที่จะร้องสอดเข้ามาในคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บิดาโจทก์จำเลยทำพินัยกรรมยกที่ดิน ๔ แปลง พร้อมเรือน ๑ หลังให้โจทก์จำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน เมื่อบิดาถึงแก่กรรม โจทก์จำเลยตกลงแบ่งที่ดินและเรือนกันแล้วต่างครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา ต่อมาจำเลยขอออกโฉนดที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์และจำเลยโดยใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว โดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ โจทก์แจ้งให้จำเลยใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินซึ่งเป็นของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยเพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๕๔, ๔๘๕๕ ต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตราด ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และขอให้มีคำสั่งแสดงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๕๔ และ ๔๘๕๕ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และมีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดตราดให้แก้ทะเบียนผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยใส่ชื่อโจทก์แทนจำเลยในโฉนดดังกล่าว
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ฝ่ายเดียว
ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย และได้นำยึดที่ดินตามฟ้องทั้งสองแปลงไว้แล้ว อยู่ในระหว่างจะนำออกขายทอดตลาดที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลย จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใด ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้ร้องไม่สามารถที่จะบังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๕๔ และ ๔๘๕๕ ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) และให้ผู้ร้องยื่นคำให้การแก้ฟ้องโจทก์ภายใน ๑๕ วัน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยไม่ใช่กรณีมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาคดีนี้โดยตรง จึงไม่อนุญาตให้ยกคำร้อง
ในวันเดียวกัน ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาคดีไว้ก่อนหรือเลื่อนการพิจารณาคดีออกไปเพื่อรอคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ เนื่องจากผู้ร้องจะอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลไม่อนุญาตให้เข้าเป็นผู้ร้องสอด จึงไม่มีเหตุที่จะงดหรือเลื่อนการพิจารณาคดี ให้ยกคำร้อง และทำการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาว่าที่ดินตามโฉนดเลขที่ ๔๘๕๔ และ ๔๘๕๕ เป็นของโจทก์ ให้จำเลยเพิกถอนชื่อออกจากโฉนดทั้งสองแปลง หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นให้ยก
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำร้องสอดและคำสั่งไม่อนุญาตให้งดหรือเลื่อนการพิจารณาคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งไม่รับคำร้องสอด คำสั่งไม่อนุญาตให้งดหรือเลื่อนการพิจารณาคดี และคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องสอดของผู้ร้องไว้และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ส่วนคำขอยื่นคำให้การแก้คดีนั้นให้ยก
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๘๕๔และ ๔๘๕๕ ตำบลท่าพริก อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด เป็นของโจทก์ ให้เพิกถอนชื่อจำเลยออกจากทะเบียนกรรมสิทธิ์ แล้วใส่ชื่อโจทก์แทนในที่ดินพิพาททั้งสองโฉนด ผู้ร้องอ้างว่า ที่ดินทั้งสองแปลงเป็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว ผู้ร้องสอดเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๘๓๑๕/๒๕๒๘ และได้ขอให้ศาลชั้นต้นยึดที่ดินทั้งสองแปลงนี้ไว้แล้ว ผู้ร้องจึงมีแต่เพียงสิทธิที่จะบังคับคดีเอาจากทรัพย์ส่วนของลูกหนี้ในคดีดังกล่าวเพื่อให้ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น หาได้มีสิทธิที่จะบังคับเอากับที่ดินพิพาทโดยตรงไม่เมื่อผู้ร้องนำยึดที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนี้ไว้แล้วโดยโจทก์ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวมิได้ใช้สิทธิร้องขัดทรัพย์ในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๘ ผู้ร้องย่อมสามารถดำเนินการบังคับคดีของตนต่อไปได้ จึงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดที่ผู้ร้องจะร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑)
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องสอดและบังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share