คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2246/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องซึ่งเป็นคนสัญชาติไทยถือหนังสือเดินทางของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดย มิได้อ้างว่าเป็นบุคคลสัญชาติไทย ก็มีสิทธิยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าเป็นคนมีสัญชาติไทยได้และเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรับพิจารณาและยกคำขอผู้ร้องก็ยื่นคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลได้ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 57 วรรคสอง การถอนสัญชาติไทยเพราะเหตุเป็นคนสัญชาติไทยที่เกิดในราชอาณาจักรไทยและไปอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและใช้สัญชาติจีนอันเป็นสัญชาติของบิดาตลอดมา เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2508 มาตรา 17 เมื่อยังไม่มีคำสั่งให้ถอนสัญชาติดังกล่าวผู้นั้นก็คงมีสัญชาติไทยอยู่

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทยเกิดที่หมู่ที่ 3ตำบลท้องลำเจียก อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2468 เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 จากโรงเรียนสตรีประจำอำเภอปากพนัง เมื่อปี 2483 ต่อมาในปี 2485ได้แต่งงานอยู่กินกับนายสีเอ็ง แซ่ลิ้ม มีบุตรด้วยกัน 2 คนปี 2490 ผู้ร้องและครอบครัวไปเยี่ยมญาติที่อำเภอบุ่นเซี้ยงจังหวัดกวางตุ้ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและพักอยู่อาศัยกับญาติชั่วคราวจนเกิดการปฏิวัติปิดประเทศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศไทย ผู้ร้องและครอบครัวไม่อาจเดินทางกลับประเทศไทยได้และถูกบังคับให้อยู่ที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนใช้ชื่อทางทะเบียนว่านางฟู เหลียน จิ จนกระทั่งในปี 2515 นายสีเอ็งถึงแก่กรรม วันที่ 26 มีนาคม 2523 ผู้ร้องเดินทางกลับประเทศไทยและยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติต่อกองตรวจคนเข้าเมือง กรมตำรวจตามกฎหมายแต่กรมตำรวจมีคำสั่งยกคำขอ ขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ได้เกิดในราชอาณาจักรไทยไม่เคยเรียนหนังสือไทยและไม่ได้เป็นบุคคลเดียวกับนางล่วนกี่ แซ่เบ้า หากฟังว่าผู้ร้องเกิดในราชอาณาจักรไทยแต่ปรากฏว่าขณะเกิดบิดามารดาผู้ร้องเป็นคนต่างด้าวสัญชาติจีนไม่ได้สมรสกันตามกฎหมาย บิดามารดาผู้ร้องเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดย ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองย่อมถูกถอนสัญชาติไทยโดย ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2515 ข้อ 1 อีกทั้งผู้ร้องไปอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและใช้สัญชาติจีนอันเป็นสัญชาติของบิดาตลอดมา ผู้ร้องย่อมถูกถอนสัญชาติไทยเช่นกัน ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 มาตรา 57เพราะผู้ร้องไม่ได้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดย อ้างว่ามีสัญชาติไทยและถูกพนักงานเจ้าหน้าที่โต้แย้งเกี่ยวกับการเข้ามาในราชอาณาจักรไทยว่าเป็นคนต่างด้าว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2523 ผู้ร้องเดินทางจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามาในประเทศไทยโดย ถือหนังสือเดินทางของประเทศดังกล่าว ปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือเดินทางเอกสารหมายป .จ.3 ต่อมาเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2523 ผู้ร้องได้ยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสงขลากรมตำรวจได้พิจารณาคำขอของผู้ร้องแล้วมีความเห็นว่า ผู้ร้องมิได้นำเอกสารหลักฐานสำคัญที่น่าเชื่อถือในการพิสูจน์สัญชาติมาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นคนเกิดในราชอาณาจักร จึงยกคำขอของผู้ร้องเมื่อวันที่ 20มกราคม 2530 ต่อมาวันที่ 28 มกราคม 2530 กองกำกับการ 3กองตรวจคนเข้าเมือง กรมตำรวจ ได้แจ้งผลการขอพิสูจน์สัญชาติให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องจึงมายื่นคำร้องคดีนี้ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติได้หรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองพ.ศ. 2522 มาตรา 57 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัติ นี้ ผู้ใดอ้างว่าเป็นคนมีสัญชาติไทย ถ้าไม่ปรากฏหลักฐานอันเพียงพอที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะเชื่อถือได้ว่าเป็นคนมีสัญชาติไทย ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นเป็นคนต่างด้าวจนกว่าผู้นั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสัญชาติไทย” และวรรคสอง บัญญัติว่า”การพิสูจน์ตามวรรคหนึ่งให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบและเสียค่าธรรมเนียมตามที่กำหนดในกฎกระทรวง หากผู้นั้นไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ จะร้องขอต่อศาลให้พิจารณาก็ได้” นั้น ในวรรคหนึ่งได้ให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยที่อ้างว่าเป็นคนสัญชาติไทยเป็นคนต่างด้าวจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสัญชาติไทยส่วนในวรรคสองก็เป็นเรื่องกำหนดวิธีการขอพิสูจน์สัญชาติว่าจะต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองตามขั้นตอนเสียก่อนหากไม่พอใจคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าว จึงจะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลได้ บทบัญญัติของกฎหมายที่ว่านี้หาได้บังคับไว้ว่า เมื่อผู้ร้องแสดงตนและเอกสารต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองว่าเป็นคนต่างด้าวแล้วจะหมดสิทธิที่จะพิสูจน์ความจริงใหม่แต่อย่างใดไม่ ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องได้ยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตำรวจคนเข้าเมืองแล้ว และพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรับพิจารณาและยกคำขอนั้น ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกเหตุที่ผู้ร้องถือหนังสือเดินทางของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนแสดงว่าเป็นคนสัญชาติจีนเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดย มิได้อ้างว่าบุคคลสัญชาติไทยมาตัดสิทธิผู้ร้อง และยกคำร้องขอของผู้ร้องศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปตามฎีกาของผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องมีสัญชาติไทยหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้แล้วแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยังไม่ได้วินิจฉัยมา ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดย ไม่ต้องย้อนสำนวน เห็นว่า พยานหลักฐานของผู้ร้องนอกจากผู้ร้องจะเป็นพยานเบิกความโดย ไม่ต้องผ่านล่ามยืนยันว่าผู้ร้องเป็นคนไทยเกิดที่ตำบลท้องลำเจียก ปัจจุบันเป็นตำบลเจ้าแม่อยู่หัว อำเภอเชียรใหญ่ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดย เป็นบุตรคนโตในจำนวน 5 คน ของนายโหยน แซ่เบ้า คนสัญชาติจีนและนางส้อง แซ่เบ้า คนสัญชาติไทยและยืนยันว่าผู้ร้องได้ศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนเทศบาล 2 จบชั้นประถมปีที่ 4 แล้วไปเข้าโรงเรียนสตรีประจำอำเภอปากพนังจนจบชั้นมัธยมปีที่ 3ในปี 2483 โดย มีทะเบียนนักเรียนและใบสุทธิของโรงเรียนดังกล่าวตามเอกสารหมาย ร .1 และ ป .จ.6 เป็นหลักฐานแล้ว ผู้ร้องยังมีนางอนงค์ ลาภวงศ์, นางสร้วง แก้วสุวรรณ และ นางสุจินต์ยืนยงสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ร้อง และเกิดที่ตำบลท้องลำเจียกทุกคน กับมีนายเซี้ยง บุญยัง ผู้ใหญ่บ้านและกำนันตำบลท้องลำเจียกในปี2506 ถึงปี 2522 เป็นพยานเบิกความว่า นางส้องเป็นคนสัญชาติไทยโดย เป็นน้องสาวมารดาของตน ส่วนเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของผู้ร้อง ผู้ร้องก็มีนางเจียร วิเศษศิลป์ เป็นพยานเบิกความว่าระหว่างที่ผู้ร้องเรียนอยู่ที่โรงเรียนเทศบาล 2 และโรงเรียนสตรีประจำอำเภอปากพนัง ผู้ร้องได้อาศัยอยู่ที่บ้านของนางเจียรจนจบการศึกษา และมีนางเพิ่มศรี ไตรสุวรรณ นางบุญเตี้ยง วัชรบวรและนางระเบียบ วิเศษศิลป์ เป็นพยานเบิกความอีกว่า ผู้ร้องเรียนอยู่ที่โรงเรียนสตรีประจำอำเภอปากพนัง โดย ขณะนั้นนางเพิ่มศรีเป็นครูสอนผู้ร้อง ส่วนนางบุญเตี้ยงและนางระเบียบเป็นเพื่อนนักเรียนกับผู้ร้อง พยานหลักฐานของผู้ร้องที่นำสืบมานี้ผู้คัดค้านมิได้นำสืบพยานโต้แย้ง เมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่ายผู้ร้องที่ปรากฏอยู่ในคำขอพิสูจน์สัญชาติเอกสารหมาย ป .จ.1และใบสุทธิของโรงเรียนสตรีประจำอำเภอปากพนังเอกสารหมาย ป .จ.6เปรียบเทียบกันแล้ว เห็นว่า มีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกันมากพยานหลักฐานของผู้ร้องจึงมีน้ำหนักเชื่อได้ว่าผู้ร้องเกิดในประเทศไทย โดย เป็นบุตรของนายโหยน แซ่เบ้า คนสัญชาติจีนและนางส้อง แซ่เบ้า คนสัญชาติไทย ผู้ร้องจึงได้สัญชาติไทยโดย การเกิดตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3)ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น ที่ศาลชั้นต้นตำหนิว่าผู้ร้องไม่มีใบสูติบัตรอันเป็นหลักฐานการเกิดมาแสดง และการแจ้งวันเดือนเกิดและสถานที่เกิดของผู้ร้องต่อทางราชการของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนตามหนังสือเดินทางเอกสารหมาย ป .จ.3แผ่นที่ 2 กับที่ปรากฏในใบทะเบียนนักเรียน ตามเอกสารหมาย ร .1ไม่ตรงกัน และว่าตามสำเนาทะเบียนบ้านของนางอนงค์ เอกสารหมายร .5 และของนางสุจินต์ เอกสารหมาย ร .7 ซึ่งอ้างว่าเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดากับผู้ร้อง มีชื่อบิดามารดาไม่ตรงกับที่ผู้ร้องอ้าง จึงไม่เชื่อว่าผู้ร้องเกิดในประเทศไทย นั้น เห็นว่าขณะที่ผู้ร้องยื่นคำขอพิสูจน์สัญชาติ ผู้ร้องมีอายุ 55 ปีแล้วและผู้ร้องไปอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนนานกว่า 30 ปีใบสูติบัตรย่อมจะสูญหายไปได้ ทั้งผู้ร้องคงจะไม่สามารถจำวันเดือนและสถานที่เกิดได้ จึงได้แจ้งต่อทางราชการของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อขอออกหนังสือเดินทางไม่ตรงกับหลักฐานซึ่งผู้ร้องได้มาหลังจากเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแล้วส่วนชื่อบิดามารดาของนางอนงค์และนางสุจินต์ ตามสำเนาทะเบียนบ้านที่มีชื่อว่า นายโผน นางสร้อง และนายโหยง นางส่องไม่ตรงกับที่ผู้ร้องอ้างว่าชื่อ นายโหยน และนางส้อง นั้นเห็นว่า ชื่อดังกล่าวออกเสียงคล้ายกัน แต่ที่สะกดชื่อผิดกันไปคงเนื่องจากผู้รับแจ้งฟังมาไม่ชัดเจนจึงสะกดชื่อผิดกันไปศาลฎีกาไม่เชื่อว่าจะเป็นชื่อบุคคลคนละคนกันจนฟังไม่ได้ว่านางอนงค์ นางสุจินต์ และผู้ร้องเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ส่วนในปัญหาที่ว่า ผู้ร้องมีบิดาเป็นคนต่างด้าว ผู้ร้องถูกถอนสัญชาติไทยโดย ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 ลงวันที่13 ธันวาคม 2515 ข้อ 1 หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้บิดาผู้ร้องจะเป็นคนต่างด้าว แต่ผู้คัดค้านมิได้นำสืบว่า บิดาผู้ร้องเป็นผู้ที่ได้รับการผ่อนผันให้พักอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราว หรือผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดย ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง ผู้ร้องจึงไม่ถูกถอนสัญชาติไทยตามกฎหมายดังกล่าว และในปัญหาที่ว่า ผู้ร้องอยู่ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและใช้สัญชาติจีนอันเป็นสัญชาติของบิดาตลอดมา ผู้ร้องได้ถูกถอนสัญชาติไทยหรือไม่นั้น เห็นว่าการถอนสัญชาติเพราะเหตุดังกล่าว เป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้สั่ง ตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2508 มาตรา 17 กรณีของผู้ร้องเมื่อยังไม่มีคำสั่งให้ถอนสัญชาติไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้ร้องจึงคงมีสัญชาติไทยอยู่ ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำร้องขอของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย

Share