คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 474/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงมา ก็ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นมิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249
โจทก์บรรยายฟ้อง เป็นใจความว่า เดิมบ้านพิพาทเป็นของนางตุงกูสะราห์ บินตำมะหงงให้จำเลยเช่าประกอบการค้า เมื่อเดือนธันวาคม 2512 โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์บ้านดังกล่าวจากนางตุงกูสะราห์ได้แจ้งให้จำเลยทราบและให้โอกาสจำเลยอยู่ชั่วคราวจำเลยไม่ตกลง โจทก์จึงให้ทนายบอกกล่าวให้จำเลยออกไปจำเลยทราบแล้วก็ยังคงอยู่โดยละเมิดเสียหายเท่าค่าเช่าอย่างต่ำเดือนละ 350 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร กับใช้ค่าเสียหายดังนี้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมเพราะโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาไว้ครบบริบูรณ์แล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องส่งเอกสารซื้อขายบ้านพิพาทพร้อมกับฟ้องไม่
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่า หากโจทก์ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาจริงขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นเสียเพื่อจำเลยจะได้ใช้สิทธิเป็นผู้ซื้อได้ก่อนเป็นคนแรกตามสิทธิที่มีอยู่ในสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับสามีนางตุงกูสะราห์ บินตำมะหงงนั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบุคคลภายนอก จำเลยไม่มีส่วนได้เสียถึงกับจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมบ้านเลขที่ ๔๑ ถนนบุรีวานิช ในเขตเทศบาลเมืองสตูล จังหวัดสตูล เป็นของนางตุงกูสะราห์ บินตำมะหงง ให้จำเลยเช่าประกอบการค้าตลอดมา เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๒ โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์บ้านดังกล่าวจากนางตุงกูสะราห์เพื่อเข้าประกอบกิจการเองโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบและให้โอกาสที่จำเลยจะอยู่ชั่วคราวแล้วจำเลยไม่ตกลง โจทก์จึงให้ทนายบอกกล่าวให้จำเลยออกจากบ้านไปจำเลยทราบแล้วก็ยังคงอยู่โดยละเมิด หากโจทก์ให้ผู้อื่นเช่าบ้านดังกล่าวจะได้ค่าเช่าอย่างต่ำเดือนละ ๓๕๐ บาท ขอให้ศาลขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ ๔๑ และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า นางตุงกูสะราห์ บินตำมะหงงเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายตนกูบราเฮม นายตนกูบราเฮมโดยนายหยุ้น จินดาศรัย เป็นตัวแทน ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทตลอดไปจนกว่าจำเลยจะบอกเลิกการเช่าเอง และหากผู้ให้เช่าต้องการขายบ้านพิพาทจะต้องขายให้แก่จำเลยก่อน ถ้าจำเลยไม่ซื้อจึงจะขายให้ผู้อื่นได้ จำเลยได้ทำสัญญาเช่าบ้านพิพาทอยู่อาศัยและประกอบการค้ามาเป็นเวลาถึง ๓๒ ปีแล้ว และได้ชำระค่าเช่าตลอดมา โจทก์เองทราบสัญญาเช่าเดิมดีอยู่ก่อนแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม หากโจทก์ซื้อและรับโอนที่ดินและบ้านพิพาทมาจริง การซื้อขายนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นการกระทำโดยสมยอมกัน เพื่อกลั่นแกล้งไม่ให้จำเลยได้รับประโยชน์ตามสิทธิที่มีอยู่ในสัญญาเช่า หากฟังว่าโจทก์รับโอนที่ดินและบ้านพิพาทมาโดยชอบ สัญญาเช่าเดิมยังมีผลอยู่ไม่ระงับ เพราะโจทก์ต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อจำเลยนั้นด้วย จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือบอกกล่าวของทนายโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งว่าหากโจทก์ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทมาจริง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นเสีย เพื่อจำเลยจะได้ใช้สิทธิเป็นผู้ซื้อได้ก่อนเป็นคนแรกตามสิทธิที่มีอยู่ในสัญญาเช่าต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยเห็นนายตนกูบราเฮมเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินรายนี้มาก่อน โจทก์ทราบแต่เพียงว่าจำเลยเช่าบ้านพิพาทจากนางตุงกูสะราห์โดยไม่มีสัญญาเช่าต่อกันเท่านั้นฟ้องแย้งของจำเลยไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม สัญญาเช่าที่จำเลยอ้างไม่ได้ปิดแสตมป์ให้ถูกต้อง ไม่สมบูรณ์ ทั้งไม่ได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานไม่มีผลบังคับกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจากนางตุงกูสะราห์โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและเปิดเผย และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์ได้รับโอนที่ดินและบ้านพิพาทมาโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากบ้านพิพาท ซึ่งจำเลยได้รับทราบแล้ว จำเลยยังขัดขืนอยู่ในบ้านพิพาทต่อมา จึงเป็นการอยู่โดยละเมิด ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม พิพากษาให้ขับไล่จำเลยพร้อมด้วยบริวารออกไปจากบ้านพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมาย ๒ ข้อ คือฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ และฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่ควรรับไว้พิจารณาเพราะเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ ส่วนฎีกาของจำเลยข้ออื่น ๆ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองพันบาท และเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๒๔ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงมา ก็ถือว่าข้อเท็จจริงนั้นมิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ ต้องห้ามฎีกาตามมาตรา ๒๔๙ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องมาด้วยว่าโจทก์ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทมาเมื่อวันเดือนปีใด ทั้งมิได้เสนอหลักฐานคือสำเนาเอกสารที่ซื้อขายกันมาพร้อมกับฟ้องด้วยนั้นเห็นว่า ตามฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ชัดเจนแล้วว่าโจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทจากนางตุงกูสะราห์เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๒ส่วนเอกสารที่ซื้อขายนั้น โจทก์หาจำเป็นต้องส่งพร้อมกับฟ้องด้วยไม่เพราะตามกฎหมายบังคับแต่เพียงว่า คำฟ้องต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น ซึ่งฟ้องโจทก์ในคดีนี้ได้บรรยายไว้ครบบริบูรณ์แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยนั้นเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับบุคคลภายนอกจำเลยไม่มีส่วนได้เสียถึงกับจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นนอกเหนือไปจากที่จำเลยได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีไว้แล้ว คำขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่จำเลยฟ้องแย้งขึ้นมานั้น จึงไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิ
พิพากษายืน

Share