แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 1 จะยกที่ดินให้แก่บุตรของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ผิดสัญญา เอาที่ดินนั้นไปทำจำนองไว้ กับจำเลยที่ 2 โจทก์ในฐานะที่เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมจำนองนั้นได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2503)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากัน ต่อมาโจทก์ฟ้องขอหย่า แล้วโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ตกลงหย่ากัน ตามสัญญาข้อ ๒ มีว่า จำเลยที่ ๑ ยอมแบ่งทรัพย์ คือ ที่ดินมีโฉนด รวม ๓ แปลง ให้แก่บุตรสองคนของโจทก์และจำเลยที่ ๑ ภายหลังจำเลยที่ ๑ ไม่โอนที่ดินให้แก่บุตร กลับเอาไปจำนองจำเลยที่ ๒ ไว้ทั้ง ๓ แปลง โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้รับจำนองขอให้สั่งเพิกถอนนิติกรรมการจำนอง ระหว่างจำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ เสีย หากไม่สามารถ เพิกถอนทำลายนิติกรรมการจำนองไว้ ก็ให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้หนี้จำนองพร้อมทั้งดอกเบี้ย เพื่อโจทก์จะได้ไถ่ถอนชำระหนี้ จำนองต่อไป
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้ว สั่งฟ้องโดยยังไม่ส่งสำเนาให้จำเลยว่า ทรัพย์ที่พิพาทโจทก์และจำเลยที่ ๑ตกลงยกให้บุตรไปแล้ว บุตรจึงชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลย ที่ ๑ ปฏิบัติการชำระหนี้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๓๗๔ โจทก์ไม่ใช่บุคคลถูกโต้แย้งสิทธิไม่อาจเป็นคู่ความได้ ไม่รับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องได้ พิพากษายก ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาต่อไป
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่าแม้ศาลชั้นต้นจะได้สั่งไม่รับฟ้องของโจทก์ โดยยังไม่ได้หมายเรียกจำเลยให้มาแก้คดีก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ก็ได้ มีคำพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาแล้ว จำเลยที่ ๑ ย่อมมีสิทธิที่จะฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๗
ส่วนในข้อที่ว่า โจทก์จะมีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือมไม่นั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความไว้กับจำเลยที่ ๑ ความว่าจำเลยที่ ๑ จะยกที่ดินโฉนดที่ ๖๒๒๐, ๖๔๐๘ และ ๖๑๔๗ ให้แก่บุตรของโจทก์และจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ ทำผิดสัญญา โดยเอาที่ดินทั้ง ๓ โฉนดนี้ ไปจำนองไว้กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าที่ดินทั้ง ๓ โฉนด จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาประนีประนอมความไว้กับโจทก์ว่าจะยกให้บุตร แสดงว่าจำเลย ๑ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยไปก่อหนี้จำนองเป็นภาระผูกพันที่ดินทั้งสามโฉนดนั้น โจทก์ในฐานะที่เป็นคู่สัญญากับจำเลยที่ ๑ ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องจำเลยที่ ๑ ให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นได้
ข้อที่จำเลยที่ ๑ ว่า โจทก์ควรจะขอให้บังคับคดีเอาตามคำพิพากษาท้ายยอมนั้น ข้อนี้โจทก์ได้กล่าวในฟ้องไว้ด้วยว่า โจทก์ได้ขอให้บังคับคดีแล้ว แต่เมื่อจำเลยที่ ๑ เอาที่ดินที่ตนจะต้องยกให้แก่บุตรตามสัญญาประนีประนอมยอมความไปทำนิติกรรมจำนองไว้กับจำเลยที่ ๒ เช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมจำนองเสียได้
พิพากษายืน