แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ส. บิดาจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่60 ปี ก่อนเกิดกรณีพิพาทคดีนี้ ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่า ส.เข้าครอบครองที่พิพาทได้อย่างไรพฤติการณ์ที่ส.และจำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทสืบต่อกันมานานถึง60 ปี โดยไม่ปรากฎว่า ส. และจำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทแทนผู้อื่น แสดงให้เห็นว่า ส. และจำเลยร่วมกันยึดถือที่พิพาทเพื่อตนมาก่อนมีการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 5285 แม้ ส.และจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการที่ อ. ขอออกโฉนดที่ดินเลขที่ 5285 ซึ่งรวมที่พิพาทไว้ด้วย และมิได้โต้แย้งคัดค้านการโอนมรดกที่ดินโฉนดดังกล่าวก็ตาม ก็ไม่ทำให้ลักษณะการยึดถือที่พิพาทของ ส. และจำเลยที่ 2 เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นหลังจากการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 5285 แล้ว ส.และจำเลยที่ 2ยังคงครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปี เมื่อ ส. ตาม จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นทายาทของ ส.จึงเป็นผู้สืบสิทธิของส. แล้วร่วมกับจำเลยที่ 2 ครอบครองที่พิพาทตลอดมา กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงตกเป็นของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่ 15และสิ่งปลูกสร้างอื่นพร้อมทั้งขนย้ายสิ่งปลูกสร้างและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5285 ของโจทก์ และส่งมอบที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์อีกต่อไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า เดิมที่พิพาทเป็นของนายไกร และนางแทน คนทั้งสองได้ยกที่พิพาทให้แก่นางสร้อย และนายสุข ซึ่งเป็นบุตรคนละครึ่งมานาน 50 ถึง 60 ปี โดยไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นางสร้อยและนายสุขได้แบ่งการครอบครองเป็นสัดส่วนโดยนางสร้อยอยู่ทางด้านตะวันออกส่วนนายสุข อยู่ทางด้านตะวันตก ต่างครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มีใครโต้แย้งคัดค้านจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามกฎหมาย จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของนายสุขและจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกับนายสุขครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาจนเมื่อนายสุข ตายไปประมาณ 20 ปีมาแล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองที่พิพาทต่อมาจนทุกวันนี้ เมื่อนายไกรและนางแทนตายแล้ว นางสร้อย ได้ไปรับมรดกใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว โจทก์หรือผู้เคยถือกรรมสิทธิ์ต่อมาจากนางสร้อย ได้รับโอนที่ดินโดยรู้อยู่แล้วว่าที่พิพาทซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกนั้น นายสุข และจำเลยทั้งสองครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์การรับโอนและจดทะเบียนโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อบ้านเลขที่ 15 และสิ่งปลูกสร้างอื่นพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 5285 ของโจทก์ และส่งมอบที่ดินให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยห้ามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายสุขบิดาจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่พิพาทมาตั้งแต่ 60 ปี ก่อนเกิดกรณีพิพาทคดีนี้ ประกอบกับโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่านายสุขเข้าครอบครองที่พิพาทได้อย่างไร พฤติการณ์ที่นายสุขและจำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทสืบต่อกันมานานถึง 60 ปี โดยไม่ปรากฎว่านายสุขและจำเลยทั้งสองครอบครองที่พิพาทแทนผู้อื่น แสดงให้เห็นว่านายสุขและจำเลยที่ 2 ร่วมกันยึดถือที่พิพาทเพื่อตนมาก่อน พ.ศ. 2495 ซึ่งเป็นปีทีมีการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 5285 แม้นายสุขและจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งคัดค้านการที่นายอ้อน พุ่มเหมือน ขอออกโฉนดที่ดินเลขที่5285 ซึ่งรวมที่พิพาทไว้ด้วย และมิได้โต้แย้งคัดค้านการโอนมรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 5285 ใน พ.ศ. 2509 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้ลักษณะการยึดถือที่พิพาทของนายสุขและจำเลยที่ 2 เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นหลังจากการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 5285 แล้ว นายสุขและจำเลยที่ 2ยังคงครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปี เมื่อนายสุข ตายจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นทายาทของนายสุขจึงเป็นผู้สืบสิทธิของนายสุขแล้วร่วมกับจำเลยที่ 2 ครอบครองที่พิพาทตลอดมา กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทจึงตกเป็นของจำเลยทั้งสองโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และเห็นว่าโจทก์ยอมรับว่าโจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทอยู่ตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2499 แต่โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาททางทะเบียนมาจากนายสามารถเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2524จึงเห็นได้ว่าโจทก์รู้อยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยทั้งสองได้ครอบครองที่พิพาทมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี จนจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแล้ว เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริต จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิดีกว่าและสามารถยกเอาการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทยันโจทก์ได้ แม้จำเลยทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์แห่งการได้มาก็ตาม
พิพากษายืน