คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4737/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำว่า “ล่า” ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ มาตรา 4 หมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ ฉะนั้น การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันล่าปะการังแข็งทุกชนิดในอันดับ Scleractinia และ Stylasterina ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ย่อมหมายถึงปะการังนั้นไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ โจทก์หาต้องบรรยายถ้อยคำดังกล่าวไว้ในคำฟ้องอีกไม่ส่วนรายละเอียดที่บรรยายฟ้องต่อมาถึงวิธีการล่าโดยการเก็บ หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใดก็น่าจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีคำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างกันและแยกต่างหากจากกันการที่จำเลยล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการใด ๆ แก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ย่อมเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและเป็นความผิดสำเร็จเมื่อจำเลยเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ส่วนการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองย่อมเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งในการที่จะครอบครองซากสัตว์ป่าดังกล่าวแยกต่างหากจากการเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ความผิดทั้งสองฐานนี้จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกหนึ่งคนร่วมกันล่าปะการังแข็งทุกชนิดในอันดับ(Order) Scleratinia และในอันดับ (Order) Stylasterina ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โดยใช้ตะกร้าพลาสติกจำนวน1 ใบ และบุ้งกี๋จำนวน 1 ใบ เก็บหรือทำอันตรายด้วยประการใด ๆ แก่สัตว์ป่าคุ้มครองดังกล่าวจากบริเวณชายหาดเกาะแรดนำใส่กระสอบและบรรทุกบนเรือประมงจำนวน 1 ลำและมีซากหินปะการัง (แข็ง) จำนวน 38 กระสอบ อันเป็นซากสัตว์ป่าคุ้มครองที่ได้มาโดยการกระทำผิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี ตามวันเวลาดังกล่าว เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมซากหินปะการัง (แข็ง)จำนวน 38 กระสอบ กับตะกร้าพลาสติกจำนวน 1 ใบ และบุ้งกี๋จำนวน 1 ใบ ซึ่งเป็นเครื่องมือ เครื่องใช้ในการกระทำความผิด และเรือประมงขนาด 3 วาเศษ จำนวน 1 ลำซึ่งเป็นของผู้อื่นที่มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 4, 6, 16,19, 47, 57, 58 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบซากหินปะการัง (แข็ง) กับตะกร้าพลาสติกและบุ้งกี๋ของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 16, 19 วรรคหนึ่ง, 47, 57, 58 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก1 ปี 6 เดือน ฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก1 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 12 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่งคงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ริบซากหินปะการัง (แข็ง) ตะกร้าพลาสติกและบุ้งกี๋ของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก2 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์ในข้อหาล่าสัตว์ป่าคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 16, 47 เคลือบคลุมเพราะไม่มีถ้อยคำว่าสัตว์ป่าคุ้มครองที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ ทำให้จำเลยเข้าใจว่าปะการังที่จำเลยเก็บนั้นเป็นปะการังที่ตายแล้ว จำเลยจึงรับสารภาพนั้น เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายไว้ว่า จำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันล่าปะการังแข็งทุกชนิดในอันดับScleractinia และ Stylasterina ซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งคำว่าล่านั้น ตามมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้ให้คำนิยามไว้ว่า หมายความว่า เก็บ ดัก จับ ยิง ฆ่า หรือทำอันตรายด้วยประการอื่นแก่สัตว์ป่าที่ไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระ ดังนั้น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันล่าปะการังแข็งซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ย่อมหมายความถึงปะการังนั้นไม่มีเจ้าของและอยู่เป็นอิสระโดยหาต้องบรรยายถ้อยคำดังกล่าวไว้ในคำฟ้องอีก ส่วนคำบรรยายฟ้องต่อมาเป็นการบรรยายรายละเอียดถึงวิธีการล่าโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการอื่นใด ซึ่งน่าจะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีคำฟ้องโจทก์จึงหาได้เคลือบคลุมไม่ ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยรับสารภาพเพราะไม่เข้าใจคำฟ้อง ดังที่จำเลยฎีกา

จำเลยฎีกาข้อหนึ่งว่า พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดล่าสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในมาตรา 16 และบัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งซากของสัตว์ป่าคุ้มครองไว้ในมาตรา 19 และมาตรา 47 ได้บัญญัติว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 16 และมาตรา 19 … ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสี่ปีหรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แสดงว่ากฎหมายมุ่งประสงค์ให้ลงโทษผู้กระทำการฝ่าฝืนมาตราใดมาตราหนึ่งหรือหลายมาตราคราวเดียวกันที่บัญญัติไว้ในมาตรา 47เพียงกรรมเดียว ไม่ใช่หลายกรรมดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น เห็นว่าการที่จะพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นความผิดหลายกรรมหรือไม่ ต้องพิจารณาจากเจตนาของผู้กระทำเป็นสำคัญ ความผิดฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง มีองค์ประกอบของความผิดแตกต่างกันและแยกต่างหากจากกันจำเลยล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยการเก็บหรือทำอันตรายด้วยประการใด ๆ แก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ย่อมเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะล่าสัตว์ป่าคุ้มครองและเป็นความผิดสำเร็จเมื่อจำเลยเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง และการที่จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวน 38 กระสอบตามฟ้อง ย่อมเป็นเจตนาอีกอันหนึ่งในการที่จะครอบครองซากสัตว์ป่าคุ้มครองจำนวน 38 กระสอบแยกต่างหากจากการเก็บหรือทำอันตรายแก่สัตว์ป่าคุ้มครอง ถือได้ว่าความผิดทั้งสองฐานเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแยกความผิดทั้งสองฐานออกจากกันเป็นข้อ ก และ ข้อ ขชัดเจน และมีคำขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดทั้งสองฐานโดยอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาด้วย ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมมีอำนาจลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในส่วนนี้ชอบแล้วฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

จำเลยฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า การกระทำความผิดของจำเลยและพฤติการณ์แห่งคดียังไม่ร้ายแรง จำเลยมีภาระต้องเลี้ยงดูมารดาซึ่งแก่ชราและบุตรอีก 1 คน ที่ยังอยู่ในวัยเรียน การลงโทษจำคุกจำเลยไม่เป็นผลดีต่อสังคม ขอให้ลงโทษปรับและคุมความประพฤติแก่จำเลยนั้น เห็นว่า ซากปะการังแข็งที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีจำนวนถึง38 กระสอบ แม้โจทก์จะมิได้ระบุถึงน้ำหนักของซากปะการังแข็งทั้ง 38 กระสอบ ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยในลักษณะของคนทั่วไปที่ต้องทำมาหาเลี้ยงครอบครัวจำเลยมิได้กระทำความผิดนี้โดยลำพังแต่ได้ร่วมกับพวก จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า จำเลยเก็บและมีไว้ในครอบครองซึ่งปะการังแข็งมากขึ้นเพียงใดทรัพยากรทางทะเลของสังคมโลกย่อมถูกทำลายมากขึ้นตามไปด้วย จำเลยจะอ้างว่าจำเลยมิได้ล่าสัตว์ป่าคุ้มครองจำเลยเพียงแต่เก็บซากปะการังแข็งที่ตายแล้วตามชายหาดย่อมไม่ได้เพราะขัดกับคำรับสารภาพของจำเลยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยไว้ พฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share