คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คู่ความตกลงกันว่า จำเลยจะนำค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาวางศาลทุกเดือนจนกว่าคดีถึงที่สุด หากจำเลยผิดนัดจำเลยยอมให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเช่าดังกล่าวและบังคับคดีออกจากอาคารและที่ดินพิพาทได้ทันที ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงเกี่ยวด้วยวิธีการคุ้มครองประโยชน์คู่ความในระหว่างพิจารณาโจทก์จะนำข้อตกลงดังกล่าวมาบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทไม่ได้เพราะคดีฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายโจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิในอาคารและที่ดินที่โจทก์ฟ้องให้ขับไล่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากอาคารและที่ดินพิพาทให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายถึงวันฟ้องรวม 75,903 บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้ใช้ค่าเสียหายอีกเดือนละ14,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากอาคารและที่ดินพิพาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ไม่เคยเช่าอาคารและที่ดินพิพาทจากโจทก์อาคารและที่ดินพิพาทเป็นมรดก จำเลยเป็นทายาทคนหนึ่งจึงเป็นเจ้าของรวมมีสิทธิใช้อาคารและที่ดินพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอคุ้มครองประโยชน์โดยขอให้จำเลยนำค่าเสียหายเท่ากับอัตราค่าเช่ามาวางศาล จำเลยตกลงยินยอมนำเงินค่าเช่ามาวางศาลเดือนละ 10,000 บาท ตั้งแต่เดือนกันยายน 2530เป็นต้นไป โจทก์พอใจ ต่อมาคู่ความตกลงให้ถือเอาผลคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 3705/2529 ของศาลแพ่งธนบุรี ระหว่างนางส้มพวงประจำกิจ กับพวก โจทก์ นายสมพงษ์ เชาวน์ประดิษฐ์ จำเลยเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ โดยหากคดีดังกล่าวศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าอาคารและที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของนายเงียบตำหรือเติมหรือเฮียบตุ้น เชาว์ประดิษฐ์ แต่เป็นของโจทก์ในคดีนี้ หรือพิพากษาอย่างอื่นที่มีผลให้อาคารและที่ดินพิพาทตกเป็นของโจทก์ในคดีนี้ จำเลยยอมแพ้คดีเต็มตามฟ้อง แต่ถ้าหากศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าอาคารและที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดก โจทก์ยอมแพ้คดีสำหรับค่าเช่ารายเดือนซึ่งจำเลยรับว่าจะนำมาวางศาลตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 13 สิงหาคม 2530 จำเลยจะนำมาวางศาลทุกเดือนโดยค่าเช่าของเดือนใดก็จะนำมาวางศาลภายในเดือนนั้นติดต่อกันไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุดและเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วหากฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะคดีก็ให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้มีสิทธิรับไป ถ้าหากจำเลยผิดนัดไม่นำเงินค่าเช่าดังกล่าวมาวางศาลในเดือนใด จำเลยยินยอมให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเช่าดังกล่าวและบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้ทันที
จำเลยผิดนัดโดยนำเงินค่าเช่าประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2533มาวางศาลในวันที่ 1 มีนาคม 2533 โจทก์จึงยื่นคำแถลงขอให้ออกคำบังคับให้จำเลยออกไปจากอาคารและที่ดินพิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำแถลงว่า ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่13 สิงหาคม 2530 เป็นเรื่องโจทก์จำเลยตกลงกันในการวางเงินเพื่อประกันความเสียหายของโจทก์หากจำเลยตกเป็นฝ่ายแพ้คดีในชั้นที่สุดหาใช่ข้อตกลงเพื่อระงับข้อพิพาทแห่งคดีไม่เมื่อคดีนี้ศาลยังไม่ได้พิพากษาชี้ขาดในประเด็นแห่งคดี จึงไม่อาจออกคำบังคับได้ ให้ยกคำแถลง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า คู่ความในคดีนี้ตกลงกันว่า จำเลยจะนำค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาวางศาลทุกเดือนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าหากจำเลยผิดนัดไม่นำเงินค่าเช่ามาวางศาลในเดือนใดจำเลยยินยอมให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเช่าดังกล่าวและบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้ทันทีเจตนาของคู่ความมิได้มุ่งที่จะกำหนดให้ฝ่ายที่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเป็นฝ่ายแพ้คดี เพียงแต่มุ่งที่จะให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทเป็นการชั่วคราวนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิในอาคารและที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องให้ขับไล่ แต่คดีนี้โจทก์จำเลยได้มาตกลงกันให้ถือเอาคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแพ่งธนบุรีคดีหมายเลขดำที่ 3705/2539 ระหว่างนางส้มพวง ประจำกิจ กับพวกโจทก์ นายสมพงษ์ เชาวน์ประดิษฐ์ จำเลย มาเป็นข้อแพ้ชนะกันดังนั้น เมื่อคดีดังกล่าวยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด โจทก์จะมาขอให้ศาลออกคำบังคับหาได้ไม่ เพราะหากจำเลยต้องถูกบังคับให้ออกจากอาคารและที่ดินพิพาท กับต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ก็มีผลเท่ากับโจทก์ชนะคดีในประเด็นที่พิพาทกันนั่นเองที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการคุ้มครองประโยชน์คู่ความในระหว่างพิจารณา โจทก์จึงนำข้อตกลงดังกล่าวมาบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทไม่ได้นั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share