คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4730/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นหัวหน้าวงแชร์จำเลยที่1และที่2เป็นลูกวงแชร์ของโจทก์จำเลยที่1และที่2ประมูลแชร์และรับเงินที่ประมูลได้ไปแล้วไม่ผ่อนชำระค่าหุ้นแก่โจทก์โจทก์ฟ้องจำเลยที่1และที่2เป็นคดีเดียวกันศาลชั้นต้นรับฟ้องโดยไม่ได้สั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่2เป็นอีกคดีและได้พิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ตามที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลจนถึงชั้นพิจารณาของศาลฎีกาเกี่ยวกับการเสนอคำฟ้องต่อศาลคดีนี้เมื่อพิจารณาถึงสภาพแห่งคำฟ้องและชั้นของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา2ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและเมื่อพิจารณาถึงคำฟ้องปรากฏว่าคดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้องและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตของศาลทั้งคดีเกี่ยวเนื่องกันด้วยจึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำศาลอุทธรณ์พิพากษาเฉพาะจำเลยที่2แล้วให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่2เป็นคดีใหม่ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่1และที่2ร่วมกันเล่นแชร์และค้างชำระเงินค่าหุ้นแชร์แก่โจทก์ตามฟ้องแต่เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่1ชำระเงิน139,710บาทและบังคับให้จำเลยที่2ชำระเงิน31,063บาทจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงห้ามจำเลยที่1ฎีกาในข้อเท็จจริงส่วนคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่2มีทุนทรัพย์จำนวน31,063บาทศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยที่2จะฎีกาโต้เถียงให้รับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่1และที่2ต่างรับผิดใช้เงินจำนวนไม่เท่ากันและไม่ได้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมค่าขึ้นศาลและค่าทนายความจึงต้องใช้ตามจำนวนทุนทรัพย์ของจำเลยแต่ละคน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2531 โจทก์ตั้งวงแชร์ขึ้นรวม 6 วง มีโจทก์เป็นหัวหน้าวง จำเลยที่ 1 และที่ 2เป็นลูกวงแชร์ของโจทก์ จำเลยที่ 1 ร่วมเล่น 6 วง คือวงที่ 1จำนวน 4 หุ้น วงที่ 2 ถึงที่ 6 วงละ 3 หุ้น จำเลยที่ 2ร่วมเล่นด้วย 5 วง คือวงที่ 2 ถึงวงที่ 6 วงละ 1 หุ้น และมีลูกวงแชร์อื่น ๆ ร่วมเล่นด้วยอีกหลายคน จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิประมูลแชร์และรับเงินที่ประมูลได้ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ผ่อนชำระค่าหุ้นและที่ยังประมูลไม่ได้ให้โจทก์บางส่วน คงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระให้โจทก์อีก126,795 บาท โจทก์ได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่16 มกราคม 2532 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 12,915 บาท รวมเป็นเงิน139,710 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้สิทธิประมูลแชร์แล้วได้รับเงินที่ประมูลได้ไปจากโจทก์ครบถ้วน แต่จำเลยที่ 2 ได้ผ่อนชำระค่าหุ้นที่ประมูลได้และยังไม่ได้ประมูลแก่โจทก์บางส่วน คงค้างชำระค่าหุ้นอีกเป็นเงิน 27,511 บาท โจทก์ได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวแทนจำเลยที่ 2 โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่4 ตุลาคม 2532 ถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน 31,063 บาท ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 139,710 บาท และจำเลยที่ 2 ชำระเงิน31,063 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ร่วมเล่นแชร์ทั้ง 6 วง จริง แต่จำเลยที่ 1 ได้เล่นเพียงวงละ1 หุ้น เท่านั้น จำเลยที่ 1 ได้ผ่อนชำระค่าหุ้นพร้อมดอกเบี้ยในหุ้นที่จำเลยที่ 1 ประมูลได้ให้โจทก์ครบถ้วนมูลค่าหุ้นแล้วโจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้ จำเลยที่ 2 ไม่เคยร่วมเล่นแชร์และรับเงินไปจากโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 2 ในคดีเดียวกัน เพราะโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ต่างเล่นแชร์โดยแยกกันเล่น ต่างคนต่างประมูล ต่างรับเงินโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือเป็นหุ้นส่วนกันแต่อย่างใดเห็นได้ว่า เรื่องที่โจทก์ฟ้องเป็นมูลหนี้ที่สามารถแบ่งแยกกันได้จึงต้องแยกฟ้องเป็นคนละคดี การฟ้องคดีเดียวกันเป็นการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมศาล ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ควรรับฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน126,795 บาท และจำเลยที่ 2 ชำระเงิน 27,511 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 มกราคม 2532และวันที่ 4 ตุลาคม 2532 ตามลำดับ จนกว่าได้ชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยทั้งสองจำนวนคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 25 พฤษภาคม 2533) ต้องไม่เกิน12,915 บาท และ 3,552 บาท ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ 2,000 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีเดียวกันไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อศาลชั้นต้นรับคำฟ้องคดีนี้โดยไม่ได้สั่งให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นอีกคดี และได้พิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ตามที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาล จนถึงชั้นพิจารณาของศาลฎีกาเห็นได้ว่าการเสนอคำฟ้องต่อศาลคดีนี้ เมื่อได้พิจารณาถึงสภาพแห่งคำฟ้องและชั้นของศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 2 แล้วปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม และเมื่อได้พิจารณาถึงคำฟ้องแล้ว ปรากฏว่า คดีนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยศาลที่จะรับคำฟ้องและตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่กำหนดเขตของศาลทั้งคดีเกี่ยวเนื่องกันด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่มีเหตุสมควรจะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 2แล้วให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่ ฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันเล่นแชร์และค้างชำระเงินค่าหุ้นแชร์เป็นจำนวนเงินตามฟ้องของโจทก์หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ใช้สิทธิฎีกาไว้ตามฎีกาข้อ 4 แล้วศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไว้เพราะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาโดยนำทุนทรัพย์มารวมกันให้เป็นทุนทรัพย์จำนวน 210,313.91 บาท แต่คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงิน 139,710 บาท และบังคับให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 31,063 บาท ดังนั้น จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงห้ามมิให้จำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ตามที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่า การนำสืบของจำเลยที่ 1 ในรายละเอียดจะถือว่าไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ เป็นการไม่ชอบก็ดี และการนำสืบของโจทก์ยังมีข้อเท็จจริงที่ไม่ปรากฏชัดก็ดี ไม่มีน้ำหนักก็ดีและเอกสารก็ไม่อาจรับฟังได้ซึ่งล้วนแต่เป็นการฎีกาที่โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ส่วนฎีกาข้อ 4 ของจำเลยที่ 2 ที่ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้เล่นแชร์และไม่ได้ค้างชำระเงินค่าแชร์เป็นจำนวนตามฟ้องก็ดี พยานโจทก์มีน้ำหนักรับฟังไม่ได้ก็ดีนั้นเมื่อคดีระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 มีทุนทรัพย์จำนวน 31,063 บาทศาลชั้นต้นได้ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงดังกล่าวและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเล่นแชร์กับโจทก์และค้างชำระเงินค่าแชร์เป็นจำนวนตามฟ้อง จำเลยที่ 2จะฎีกาโต้เถียงให้รับฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้อนึ่ง โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างรับผิดใช้เงินจำนวนไม่เท่ากัน ค่าขึ้นศาลและค่าทนายความจึงต้องใช้ตามจำนวนทุนทรัพย์ของจำเลยแต่ละคน ซึ่งตามคำฟ้องก็ไม่ได้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียม ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขความรับผิดชั้นที่สุดของคู่ความในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมให้ถูกต้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ไม่ครบและเสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาเกินจึงคืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาจำนวน 960 บาท ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยในศาลชั้นต้นให้ใช้ค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 139,710 บาทและค่าทนายความสามศาลรวม 4,000 บาท ให้จำเลยที่ 2ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยในศาลชั้นต้นให้ใช้ค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ 31,063 บาท และค่าทนายความสามศาลรวม 2,000 บาท ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2จำนวน 960 บาท

Share