คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

คำรับสารภาพที่ได้ความว่าหากจำเลยไม่ให้การรับสารภาพเจ้าพนักงานตำรวจก็จะต้องจับกุมภริยาจำเลยและคนในบ้านทั้งหมดด้วยเป็นคำรับสารภาพที่มีเหตุจูงใจและบังคับให้กลัวไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 23 พฤษภาคม 2537 เวลา กลางวัน จำเลยได้ กระทำผิด ต่อ กฎหมาย หลายกรรม ต่างกัน กล่าว คือ จำเลย มี เฮโรอีนอันเป็น ยาเสพติดให้โทษ ร้ายแรง ใน ประเภท 1 จำนวน 2 หลอด น้ำหนัก2 กรัม และ อีก 1 หลอด น้ำหนัก 0.29 กรัม ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อจำหน่าย และ มี กัญชา แห้ง อัด แท่ง มี รอย ตัด เพื่อ แบ่ง จำหน่าย จำนวน 3 แท่งน้ำหนัก 37.25 กรัม และ กัญชา แห้ง 1 ห่อ น้ำหนัก 0.96 กรัม อันเป็นยาเสพติดให้โทษ ใน ประเภท 5 ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย เหตุเกิด ที่ ตำบล เบตง อำเภอเบตง จังหวัด ยะลา ตาม วัน เวลา ดังกล่าว เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย ได้ พร้อม เฮโรอีน และ กัญชา ดังกล่าว เป็นของกลาง ขอให้ ลงโทษ ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 6, 7, 8, 15, 26, 66, 67, 76, 102 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุ ชื่อ และ ประเภท ยาเสพติดให้ โทษ ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ข้อ 1(1) วรรคท้ายและ ข้อ 4(1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบ เฮโรอีน และ กัญชาของกลาง
จำเลย ให้การ รับ ว่า มี เฮโรอีน และ กัญชา ไว้ ใน ครอบครอง จริง แต่ปฏิเสธ ว่า มิได้ มีไว้ เพื่อ จำหน่าย
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง , 26 วรรคหนึ่ง , 66วรรคหนึ่ง , 76 วรรคสอง เรียง กระทง ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐาน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย จำคุก 7 ปีและ ฐาน มี กัญชา ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย จำคุก 2 ปี รวม จำคุก 9 ปีคำให้การ รับสารภาพ ของ จำเลย ใน ชั้น จับกุม และ ชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์ แก่ การ พิจารณา ของ ศาล อยู่ บ้าง มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษให้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่ง ใน สาม คง จำคุก จำเลย 6 ปีริบ เฮโรอีน และ กัญชา ของกลาง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี ความผิด ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67, 76 วรรคหนึ่งเรียง กระทง ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐาน มีเฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง จำคุก 2 ปี และ ฐาน มี กัญชา ไว้ ใน ครอบครองจำคุก 3 เดือน รวม จำคุก 2 ปี 3 เดือน จำเลย ให้การรับสารภาพเป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา ลดโทษ ให้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คง จำคุก 1 ปี 1 เดือน 15 วัน นอกจาก ที่ แก้ ให้เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ทางพิจารณา โจทก์ นำสืบ ว่า เมื่อ วันที่ 23พฤษภาคม 2537 เวลา 13.20 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอก สกนธ์ อนนทรัตน์ กับพวก ได้รับ แจ้ง จาก สาย ลับ ว่า มี การ จำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ ที่ บ้านจำเลย ซึ่ง ตั้ง อยู่ หมู่ ที่ 2 บ้านกาแป๊ะกอตอ ตำบลเบตง อำเภอเบตง จังหวัด ยะลา จึง พร้อม กับพวก เดินทาง ไป ยัง บ้าน จำเลย เมื่อ ไป ใกล้ บริเวณบ้าน พบ จำเลย กับ ชาย อีก 2 คน จับ กลุ่ม กัน อยู่ บริเวณ บ่อน้ำ ใกล้ บ้านจำเลย เมื่อ ชาย ทั้ง สอง ที่อยู่ กับ จำเลย เห็น เจ้าพนักงาน ตำรวจ ได้ วิ่งหลบหนี ไป ร้อยตำรวจเอก พิทักษ์ กับพวก จึง ควบคุม ตัว จำเลย ไว้ และ ขอ ตรวจค้น ตัว ตลอดจน บ้านพัก และ ร้าน ขาย ของชำ ของ จำเลย จาก การ ตรวจค้นตัว จำเลย สิบตำรวจโท ปลอบ จันทร์แก้ว พบ เฮโรอีน บรรจุ ใน หลอด พลาสติก ใส มี ฝา ปิด 2 หลอด ซุกซ่อน อยู่ ใน ขม วดชาย ผ้า โสร่ง บริเวณ เอวที่ จำเลย นุ่ง อยู่ ส่วน ภายใน ร้าน ขาย ของชำ ของ จำเลย ร้อยตำรวจเอก สกนธ์ ค้นพบ เฮโรอีน บรรจุ ใน หลอด พลาสติก ใส มี ฝา ปิด 1 หลอด และ กัญชา แห้ง อัด แท่ง มี รอย ตัด แบ่ง 3 แท่ง อยู่ ที่ พื้น ใกล้ ประตู ด้านหลังโดย มี กะ ลา มะพร้าว ครอบ ปิด อยู่ สำหรับ ที่ บ้าน จำเลย นาย ดาบตำรวจ โกศล ปิ่นเพชร ค้นพบ กัญชา แห้ง บรรจุ ใน ห่อ กระดาษ 1 ห่อ มี กะ ลา มะพร้าว วาง ครอบ อยู่ และ ร้อยตำรวจเอก สกนธ์ ยัง ค้นพบ ธนบัตร ไทย จำนวน 16,980 บาท และ ธนบัตร มาเลเซีย จำนวน 211 ริงกิต ซ่อน ไว้ ที่ ด้านหลัง ของ นาฬิกา แขวน ติด ฝาผนัง ใน บ้าน จำเลย ซึ่ง เข้าใจ ว่า เงินดังกล่าว จำเลย ได้ มาจาก การ จำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ เจ้าพนักงาน ตำรวจได้ ยึด สิ่งของ ที่ ค้นพบ เป็น ของกลาง และ แจ้ง ข้อหา แก่ จำเลย ว่ามี เฮโรอีน และ กัญชา อันเป็น ยาเสพติดให้โทษ ร้ายแรง ใน ประเภท 1 และประเภท 5 ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย จำเลย ให้การรับสารภาพ ตามบันทึก การ จับกุม เอกสาร หมาย จ. 1 ต่อ จาก นั้น ได้ นำตัว จำเลย พร้อมของกลาง ส่ง ต่อ ร้อยตำรวจเอก นิตินัย หลังยาหน่าย พนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวน แจ้ง ข้อหา แก่ จำเลย ว่า มี เฮโรอีน และ กัญชาไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย จำเลย ให้การรับสารภาพ เอกสาร หมายป.จ. 1 สำหรับ ธนบัตร ของกลาง ต่อมา ภายหลัง ได้ คืน ให้ แก่ ภริยา จำเลยเนื่องจาก ภริยา จำเลย ยืนยัน ว่า เป็น เงิน ที่ ได้ มาจาก ขาย ของชำ
จำเลย นำสืบ ว่า จำเลย มี เฮโรอีน และ กัญชา ของกลาง เพื่อ ใช้ เสพมิได้ มีไว้ เพื่อ จำหน่าย โดย เฮโรอีน ที่ ค้น ได้ จาก ตัว จำเลย จำเลย กับเพื่อน อีก 2 คน ใช้ เสพ ที่ บ่อน้ำ ใกล้ บ้าน ก่อน ที่ เจ้าพนักงาน ตำรวจเข้า ตรวจค้น จับกุม จำเลย สำหรับ ยาเสพติดให้โทษ ที่อยู่ ใน ร้าน ขาย ของชำเป็น ของ เพื่อน ที่มา ร่วม เสพ เฮโรอีน ได้ นำ มา ฝาก ไว้ และ มิได้ เอากลับคืน ไป เนื่องจาก วิ่ง หลบหนี เจ้าพนักงาน ตำรวจ ไป เสีย ก่อนส่วน กัญชา ที่อยู่ ใน บ้านพัก นั้น จำเลย ใช้ ผสม อาหาร รับประทาน เพื่อ ให้อาหาร มี รส ชาติ ดี
พิเคราะห์ แล้ว ข้อเท็จจริง ใน เบื้องต้น รับฟัง เป็น ยุติ ว่า ตาม วันเวลา และ สถานที่เกิดเหตุ ใน ฟ้อง จำเลย มี เฮโรอีน และ กัญชา ของกลาง อันเป็นยาเสพติดให้โทษ ร้ายแรง ใน ประเภท 1 และ ประเภท 5 ไว้ ใน ครอบครองคดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกา ของ โจทก์ ว่า จำเลย มี ยาเสพติดให้โทษดังกล่าว ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย หรือไม่ โจทก์ มี ร้อยตำรวจเอก สกนธ์ อนนทรัตน์ นาย ดาบตำรวจ โกศล ปิ่นเพชร สิบตำรวจโท ปลอบ จันทร์แก้ว และ ร้อยตำรวจเอก พิทักษ์ เอียดแก้ว ซึ่ง เป็น ผู้จับกุม จำเลย เป็น พยาน โดย ร้อยตำรวจเอก สกนธ์ นายดาบตำรวจโกศล และ สิบตำรวจโท ปลอบ เบิกความ ทำนอง เดียว กัน ว่า ทราบ จาก สาย ลับ ซึ่ง ไม่อาจ เปิดเผย ชื่อ ได้ มา แจ้ง ว่า จำเลย ลักลอบ จำหน่าย ยาเสพติดให้โทษจึง ได้ ไป ที่ บ้าน จำเลย ขอ ทำการ ตรวจค้น พบ เฮโรอีน 2 หลอด ที่ ตัวจำเลย และ ยัง พบ เฮโรอีน กับ กัญชา แห้ง มี รอย ตัด แบ่ง ออก เป็น 3 แท่งที่ ร้าน ขาย ของชำ ของ จำเลย ส่วน ที่ บ้าน จำเลย ตรวจ พบ กัญชา แห้ง 1 ห่อและ พบ ธนบัตร ไทย จำนวน 16,980 บาท และ ธนบัตร มาเลเซีย จำนวน211 ริงกิต จึง ยึด ไว้ เป็น ของกลาง แต่ ร้อยตำรวจเอก พิทักษ์ ผู้เป็น หัวหน้า ใน การ ตรวจค้น บ้าน จำเลย กลับ เบิกความ ว่า ใน วันเกิดเหตุ พยานและ พวก จำนวน 16 คน ได้ ออก ลาด ตระเวน ตรวจ ท้องที่ จน ไป ถึง ที่เกิดเหตุ ได้ พบ จำเลย กับพวก อีก 2 คน มี ท่าทาง พิรุธ เมื่อ พวก ของ จำเลยเห็น พยาน จึง พา กัน วิ่งหนี ไป พยาน กับพวก ได้ ทำการ ตรวจค้น ตัว จำเลยและ ตรวจค้น บ้าน กับ ร้าน ขาย ของชำ ของ จำเลย จึง ได้ พบ ของกลาง ดังกล่าวซึ่ง คำเบิกความ ของ ร้อยตำรวจเอก พิทักษ์ เจือสม กับ ข้อ นำสืบ ของ จำเลย ที่ อ้างว่า ก่อน ที่ เจ้าพนักงาน ตำรวจ จะ จับกุม จำเลย จำเลย อยู่ กับพวก อีก2 คน ที่ บ่อน้ำ ใกล้ บ้าน กรณี จึง น่าเชื่อ ว่าการ จับกุม จำเลย และ ยึดยาเสพติดให้โทษ ของกลาง ได้ เพราะ บังเอิญ ไป พบ จำเลย กับพวกมี พิรุธ หาก มี สาย ลับ มา บอก ว่า จำเลย ลักลอบ จำหน่าย ยาเสพติดให้โทษดัง คำเบิกความ ของ ร้อยตำรวจเอก สกนธ์นายดาบตำรวจโกศลและสิบตำรวจโท ปลอบ แล้ว คง ต้อง ใช้ วิธีการ ล่อ ซื้อ และ เฝ้า สังเกต พฤติการณ์ ของ จำเลย ใน การ จำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ ดัง เช่น ที่ เจ้าพนักงาน ตำรวจใช้ ปฏิบัติ เป็น ปกติ ทั้งนี้ เพื่อ ขยาย ผล ไป ถึง ยาเสพติดให้โทษ ที่ เหลืออยู่ เพื่อ พิสูจน์ ว่า จำเลย มีไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย นอกจาก นี้การ ที่ แจ้ง ข้อหา แก่ จำเลย ว่า มี เฮโรอีน และ กัญชา ของกลาง ไว้ ใน ครอบครองเพื่อ จำหน่าย อาจ เนื่องจาก ยึด ธนบัตร ไทย จำนวน 16,980 บาท และธนบัตร มาเลเซีย จำนวน 211 ริงกิต ได้ ใน บ้าน จำเลย โดย ร้อยตำรวจเอก สกนธ์ เบิกความ ว่า ธนบัตร ดังกล่าว เชื่อ ว่า ได้ มาจาก การ จำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ และ เบิกความ ตอบ ทนายจำเลย ถาม ค้าน ว่า ที่ ตั้งข้อหา ว่า จำเลย มี ยาเสพติดให้โทษ ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย นั้น เป็นความเห็น ของ หัวหน้า ชุด ที่ ไป ตรวจค้น จับกุม จำเลยร่วม กับ พยาน จึง แสดงว่าการ ตั้ง ข้อหา นี้ เป็น การ สันนิษฐาน ของ ร้อยตำรวจเอก พิทักษ์ และ ร้อยตำรวจเอก สกนธ์ เอา เอง ซึ่ง ต่อมา ตาม ทาง สอบสวน ก็ ปรากฏว่า ธนบัตร ดังกล่าว เป็น เงิน ที่ ได้ มาจาก การ ขาย ของชำ และ พนักงานสอบสวน ได้ส่ง คืน ให้ แก่ ภริยา จำเลย แล้ว ส่วน ที่ จำเลย รับสารภาพ ใน ชั้น จับกุมและ ชั้นสอบสวน ร้อยตำรวจเอก พิทักษ์และนางมาฮาลี ลาแซ ภริยา จำเลย ซึ่ง เป็น พยานโจทก์ เบิกความ ตอบ ทนายจำเลย ถาม ค้าน ต้อง กัน ว่าหาก จำเลย ไม่ให้ การ รับสารภาพ ก็ จะ ต้อง จับกุม ภริยา จำเลย และ คน ใน บ้านทั้งหมด ด้วย จึง เป็น คำรับสารภาพ ที่ มีเหตุ จูงใจ และ บังคับ ให้ กลัวไม่อาจ รับฟัง เป็น พยานหลักฐาน พิสูจน์ ความผิด ของ จำเลย ได้ สำหรับลักษณะ ของ การ แบ่ง กัญชา ก็ ไม่แน่ ชัด ว่า จำเลย แบ่ง ซื้อ มา หรือ เป็น การแบ่ง เพื่อ ขาย ประกอบ กับ ของกลาง มี จำนวน เล็กน้อย ไม่ เข้า ข้อสันนิษฐานว่า มีไว้ เพื่อ จำหน่าย ดังนี้ จำเลย อาจ มีไว้ เพื่อ เสพ เอง พยานหลักฐานของ โจทก์ จึง ยัง ไม่มี น้ำหนัก มั่นคง เพียงพอ ที่ จะ ฟัง ว่า จำเลย มี เฮโรอีนและ กัญชา ของกลาง ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 3พิพากษา มา ชอบแล้ว ฎีกา ของ โจทก์ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share