คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้รับมอบลิฟท์พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์ไว้ในความครอบครองตามเงื่อนไขแห่งสัญญาจะซื้อขายอันเป็นการครอบครองแทนโจทก์ แม้จะครอบครองเป็นเวลาช้านานเพียงใด จำเลยก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
การที่โจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้แก่จำเลยและเรียกให้จำเลยส่งมอบลิฟท์พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์อันเป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายคืนหากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นกรณีที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ติดตามเอาทรัพย์สินคืนจึงไม่มีอายุความ
เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้ว การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาจะถอนเสียมิได้ ดังนั้นการที่โจทก์มีหนังสือติดต่อขอส่งมอบลิฟท์ให้แก่จำเลยและขอเก็บเงินงวดสุดท้ายในเวลาต่อมา จึงเป็นเพียงคำเสนอขึ้นใหม่เมื่อไม่มีการสนองตอบจึงไม่ก่อให้เกิดผลแต่อย่างใดโจทก์ไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยอีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาซื้อลิฟท์ 1 เครื่องพร้อมเครื่องอุปกรณ์จากโจทก์ แบ่งชำระค่าสินค้าและค่าจ้างติดตั้งเป็น 3 งวด จำเลยชำระเงินสองงวดแรก และโจทก์ได้ขนส่งลิฟท์ไปยังสถานที่ก่อสร้างของจำเลยแล้วกรรมสิทธิ์ในลิฟท์ยังเป็นของโจทก์อยู่ตราบที่จำเลยยังชำระราคาไม่ครบต่อมาจำเลยไม่จัดสร้างสถานที่ จัดหากระแสไฟฟ้า หรือเตรียมการอื่นที่จำเป็นเพื่อให้โจทก์ติดตั้งลิฟท์ โจทก์ได้บอกกล่าวแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติและในที่สุดจำเลยหยุดการก่อสร้าง กับไม่ชำระเงินงวดสุดท้าย โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว จำเลยไม่คืนลิฟท์และเครื่องอุปกรณ์ขอให้จำเลยส่งมอบลิฟท์พร้อมเครื่องอุปกรณ์คืนแก่โจทก์ หากส่งไม่ได้ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า โจทก์ส่งมอบลิฟท์ให้ไม่ครบถ้วนไม่ตรงตามเวลาที่จะใช้ประโยชน์ และไม่ดำเนินการติดตั้งให้เสร็จภายในกำหนดเวลาตามสัญญา จำเลยจึงยังไม่ชำระเงินที่ค้าง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกลิฟท์คืน คดีโจทก์ขาดอายุความ ทั้งจำเลยได้ครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว กับต่อสู้ในเรื่องค่าเสียหายด้วย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนลิฟท์ในสภาพเรียบร้อยให้โจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา โดยให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาดังกล่าวแล้ว คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคแรก จำเลยจึงต้องคืนลิฟท์และอุปกรณ์ที่รับมอบไว้ให้แก่โจทก์ ประกอบกับจำเลยยังมิได้ชำระเงินค่าลิฟท์งวดสุดท้ายให้แก่โจทก์จึงต้องถือว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในลิฟท์อยู่ตามสัญญาข้อ 5 จำเลยได้รับมอบลิฟท์พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์ไว้ในความครอบครองตามเงื่อนไขแห่งสัญญาจะซื้อจะขายอันเป็นการครอบครองแทนโจทก์ ไม่ว่าจำเลยจะครอบครองเป็นเวลาช้านานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่จำเลยฎีกาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า การที่โจทก์ใช้สิทธิเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำไว้กับจำเลย และเรียกให้จำเลยส่งมอบลิฟท์พร้อมด้วยเครื่องอุปกรณ์อันเป็นทรัพย์สินที่ซื้อขายคืน หากส่งคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ใช้สิทธิติดตามเรียกเอาทรัพย์สินคืน มิใช่ในฐานะพ่อค้าฟ้องเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของดังที่จำเลยกล่าวอ้าง จึงไม่มีอายุความในการฟ้องคดี คดีของโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ ส่วนฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าสัญญาซื้อจะขายยังคงผูกพันกันอยู่เพราะหลังจากโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 8 สิงหาคม 2521 ติดต่อขอส่งมอบลิฟท์ให้จำเลยและขอเก็บเงินงวดสุดท้าย ตามเอกสารหมาย จ.11 แล้ว โจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยอีกนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 30 กันยายน 2518 บอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้วตามเอกสารหมาย จ.9 การแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาดังกล่าวจะถอนไม่ได้ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 วรรคสอง การที่โจทก์มีหนังสือติดต่อขอส่งมอบลิฟท์ให้จำเลยและขอเก็บเงินงวดสุดท้ายในเวลาต่อมาตามเอกสารหมาย จ.11 เป็นเพียงคำเสนอขึ้นใหม่ เมื่อไม่มีการสนองตอบจึงไม่ก่อให้เกิดผลแต่อย่างใด โจทก์ไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยอีก

พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยคืนลิฟท์พิพาทในสภาพเรียบร้อยให้โจทก์ไม่ได้ก็ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 262,000 บาท โดยให้หักส่วนที่จำเลยชำระให้แล้วจำนวน 143,500 บาทออกเสียก่อน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share