แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับโอนไว้แทนโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 หาได้ให้การปฏิเสธว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในปัญหาว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในปัญหานี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2533 โจทก์ได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 13450 และ 6529 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในราคา 3,000,000 บาท โดยชำระราคาที่ดินให้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยครบถ้วนแล้ว โจทก์ตกลงให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับโอนที่ดินไว้แทนโจทก์ ต่อมาบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังจำเลยที่ 1ให้โอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 เพิกเฉยและสมรู้ร่วมคิดกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 โอนขายที่ดินดังกล่าวไปโดยไม่สุจริตและไม่มีค่าตอบแทน แล้วจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้นำที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ไปจดทะเบียนจำนองต่อธนาคารทั้งได้ฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาททั้งสองแปลงต่อศาลชั้นต้น การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 13450 และ 6529 พร้อมสิ่งปลูกสร้างอาคารสองชั้น 1 หลัง เลขที่ 112/3 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และมีคำสั่งว่าที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนให้โจทก์หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากจำเลยทั้งสามไม่สามารถโอนที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้โจทก์ได้ ให้ชดใช้ราคาเป็นเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า ได้ซื้อที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งได้จดทะเบียนโอนโดยถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 6529 และ 13450 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 112/3 ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสามจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามหากโอนไม่ได้ให้ร่วมกันชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง บัญญัติว่า ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้นคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับโอนจากบริษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไว้แทนโจทก์จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การเพียงว่า ได้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ทั้งได้จดทะเบียนโอนโดยถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น หาได้ปฏิเสธว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
ส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลภายนอกซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 นั้น เห็นว่า ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในปัญหานี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 3 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน