แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพร้อมเครื่องเรือน ของใช้สำนักงาน โรงงานและเครื่องจักรต่าง ๆซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปแม้ตามคำฟ้องโจทก์จะระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์เพียงรวม ๆก็ตาม แต่ก็ได้ระบุชัดถึงชนิดและประเภทของทรัพย์ โดยยืนยันจำนวนทรัพย์ด้วยว่าทั้งหมดที่ตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินที่พิพาท ย่อมสามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงทรัพย์ใดบ้าง ความเข้าใจของจำเลยนี้เห็นได้ชัดจากที่จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนได้อ้างเอกสารและให้รายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทเอง ฟ้องโจทก์จึงได้ระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวทรัพย์พิพาทพอที่จำเลยสามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้องแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 4368และ 4369 ตำบลราษฎร์บูรณะ (บางแจงร้อนนอก) อำเภอราษฎร์บูรณะกรุงเทพมหานคร และตึกแถวเลขที่ 459/1-2 พร้อมเครื่องเรือนของใช้สำนักงาน โรงงานและเครื่องจักรต่าง ๆ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวโดยให้จำเลยเข้าอาศัยและใช้ประโยชน์ โจทก์ไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยอาศัยและใช้ประโยชน์ในที่ดินและตึกแถวพร้อมทรัพย์สินดังกล่าวต่อไป ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินในส่วนที่เป็นของจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 4368, 4369และตึกแถวเลขที่ 459/1-2 ส่งมอบที่ดินและตึกแถวพร้อมเครื่องเรือนเครื่องใช้สำนักงานและโรงงานและเครื่องจักรต่าง ๆ คืนให้โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงินจำนวน 30,000 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 5,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินและตึกแถวพิพาท
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยขนย้ายเครื่องเรือนเครื่องใช้สำนักงานและโรงงานพร้อมกับบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยจดทะเบียนส่งมอบเครื่องจักรพิพาทแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำนวน 30,000 บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ5,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดิน และตึกพิพาทดังกล่าวเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ให้รายละเอียดในข้อหาและชนิดของทรัพย์สินนั้น คำฟ้องโจทก์แม้ระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวทรัพย์เพียงรวม ๆ ก็ตามแต่ก็ได้ระบุชัดถึงชนิดและประเภทของทรัพย์โดยยืนยันจำนวนทรัพย์ด้วยว่า ทั้งหมดที่ตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยเป็นผู้ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินนั้น จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินที่พิพาท ย่อมสามารถเข้าใจได้ว่าหมายถึงทรัพย์ใดบ้าง ความเข้าใจของจำเลยนี้เห็นได้ชัดจากที่จำเลยเป็นฝ่ายนำสืบก่อนได้อ้างเอกสารและให้รายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์พิพาทเอง ฟ้องโจทก์จึงได้ระบุข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวทรัพย์พิพาทพอที่จำเลยสามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้ถูกต้องแล้ว
พิพากษายืน