คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2525

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยกระทำความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย ในขณะที่ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522ยังมิได้ใช้บังคับ ต้องลงโทษจำเลยตามกฎหมายเก่า และกรณีนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนเป็น 2 กระทง ให้จำคุกกระทงละ5 ปี รวม 2 กระทง จำคุก 10 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 5 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 ฐานมีไว้เพื่อจำหน่ายมีกำหนด 5 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบเฮโรอีนของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2มีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย พยานของจำเลยที่ 2 ไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มานั้น ยังไม่ถูกต้อง เพราะพระราชบัญญัติฉบับนี้ยังไม่ใช้บังคับขณะจำเลยกระทำความผิด และกรณีนี้เป็นเหตุในลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พุทธศักราช 2465 มาตรา 4 ทวิ, 14, 20 ทวิ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง”

Share