แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ส. ผู้ตาย โดยจดทะเบียนสมรสเมื่อปี 2478 หลังจากนั้นปี 2490 ผู้ร้องและผู้ตายร่วมกันซื้อและจับจองที่ดินพิพาทแล้วใส่ชื่อผู้ตายเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว โดยผู้ร้องมีสินเดิมแต่ผู้ตายไม่มีสินเดิม ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสซึ่งเป็นของผู้ร้องสองในสามส่วน อันเป็นส่วนหนึ่งของสินบริคณห์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม มาตรา 1462 วรรคสอง และไม่ปรากฏว่าผู้ร้องกับผู้ตายได้ทำสัญญาก่อนสมรสให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการสินบริคณห์หรือให้จัดการร่วมกับผู้ตาย ที่ดินพิพาทจึงมิใช่สินเดิมของผู้ร้องหรือสินสมรสที่ผู้ร้องได้มาโดยทางยกให้หรือพินัยกรรมและการจำหน่ายที่ดินพิพาทมิใช่เป็นการยกให้โดยเสน่หา ผู้ตายจึงมีอำนาจจัดการจำหน่ายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์ได้แต่ผู้เดียวโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม มาตรา 1468 และ 1473 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้นและตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 ก็ระบุให้กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ ดังนั้นเมื่อผู้ตายทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในปี 2515 และผู้ตายถึงแก่ความตายปี 2521 สิทธิในการรับชำระเงินและหน้าที่ในการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินตามสัญญาที่ผู้ตายทำไว้ก่อนตายจึงเป็นกองมรดกของผู้ตาย การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยอ้างว่าผู้ตายผิดสัญญาไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทและรับค่าที่ดินไปจากโจทก์ จึงเป็นการเรียกร้องสิทธิในฐานะเจ้าหนี้กองมรดกของผู้ตายเพื่อบังคับต่อทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้ตายให้โอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตามสัญญา และการที่จำเลยต่อสู้คดีแต่ในที่สุดก็ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ก็เป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกเพื่อชำระหนี้ของผู้ตายที่มีอยู่ก่อนตาย และเพื่อนำทรัพย์สินที่เหลือมาแบ่งปันแก่ทายาทผู้ตายอันเป็นการจัดการทรัพย์มรดกตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1719 ซึ่งเมื่อศาลพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามโจทก์ย่อมขอให้บังคับคดีให้จำเลยดำเนินการโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ได้ และแม้ผู้ร้องจะมีสิทธิในที่ดินพิพาทสองในสามส่วนก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะต้องเรียกร้องหรือว่ากล่าวแก่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายให้นำค่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ชำระตามคำพิพากษาตามยอมมาแบ่งแก่ผู้ร้องตามสิทธิที่มีอยู่ก่อนการแบ่งปันมรดกแก่ทายาท ผู้ร้องไม่อาจขอกันส่วนในที่ดินพิพาทได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ขายและโอนกรรมสิทธิ์กับสิทธิครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2523 ความว่า จำเลยยอมตกลงขายที่ดินที่ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 40,000,000 บาทการโอนและการชำระเงินโจทก์จำเลยตกลงกัน ดังนี้ งวดที่หนึ่งภายในกำหนด 4 เดือนนับแต่วันทำยอม จำเลยจะโอนที่ดินซึ่งมีโฉนดแล้วคือโฉนดเลขที่ 1111 และ 838 ให้แก่โจทก์ โจทก์จะจ่ายเงินให้แก่จำเลยในวันโอน 5,000,000 บาท งวดที่สองภายในกำหนด5 เดือน นับจากวันพ้นกำหนดงวดที่หนึ่ง จำเลยจะจัดการโอนที่ดินซึ่งมีโฉนดแล้วคือโฉนดเลขที่ 1525, 1647, 1602 และ 1636 ให้แก่โจทก์ โจทก์จะจ่ายเงินให้แก่จำเลยในวันโอน 6,000,000 บาท งวดที่สามที่ดินส่วนที่เหลือซึ่งยังไม่มีโฉนด จำเลยจะเป็นผู้จัดการออกโฉนด เมื่อออกโฉนดแล้วเสร็จเมื่อใดก็จะแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อกำหนดวันโอนและชำระเงิน หากโจทก์ชำระราคาที่ดินในการโอนงวดใดไม่ได้ภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันได้รับทราบการแจ้งของจำเลย โจทก์ยอมให้ถือว่าโจทก์สละสิทธิที่จะไม่ซื้อที่ดินตามโฉนดเหล่านั้น ต่อมาปรากฏว่างวดที่หนึ่งโจทก์จำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวถูกต้อง แต่งวดที่สองศาลฎีกาพิพากษาว่าถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจึงมีผลเท่ากับสละสิทธิในการซื้อที่ดินงวดที่สอง ส่วนงวดที่สามศาลฎีกาพิพากษาให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งมีคำสั่งให้จำเลยทำการโอนและส่งมอบที่ดินให้โจทก์ที่ดินที่จำเลยดำเนินการออกโฉนดแล้วจำนวน16 แปลง คือ โฉนดเลขที่ 3258, 3259, 3357, 3456, 3498, 3558, 3659, 3660,3661, 3662, 3663, 3716, 3717, 3718, 3719 และ 3720 ให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ภายใน 15 วัน โดยให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 22,066,325 บาทแก่จำเลย กับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)ให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน โดยให้โจทก์ชำระเงินตามราคาประเมินของทางราชการ หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาซึ่งออกตามสัญญาประนีประนอมยอมความแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ส่วนที่ดินที่มีแต่แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ซึ่งจดทะเบียนโอนยังไม่ได้ให้จำเลยส่งมอบการครอบครองแก่โจทก์ภายใน 30 วัน โดยให้โจทก์ชำระเงินตามราคาประเมินของทางราชการแก่จำเลยในวันที่รับมอบการครอบครอง การชำระเงินค่าที่ดินของโจทก์ในงวดที่สามนี้หากชำระครบ 29,000,000 บาท เมื่อใด ถือว่าได้ชำระครบถ้วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความตั้งแต่นั้นแล้วแต่จำเลยไม่โอนที่ดินและส่งมอบที่ดินงวดที่สามแก่โจทก์ โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสด กูรมะโรหิตที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นสินสมรสของผู้ร้องสองในสามส่วนเพราะขณะทำการสมรสผู้ร้องมีสินเดิมแต่ฝ่ายเดียว ต่อมาเมื่อนายสดถึงแก่ความตาย จำเลยเป็นผู้จัดการมรดก ผู้ร้องทวงถามจำเลยให้แบ่งสินสมรสและมรดกแก่ผู้ร้อง แต่จำเลยไม่จัดการให้ ผู้ร้องและทายาทจึงร่วมกันฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน2534 ให้แบ่งสินสมรสและมรดก ภายหลังฟ้องแล้วผู้ร้องจึงทราบว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว จำเลยปกปิดเรื่องที่โจทก์ฟ้องมาตลอด ผู้ร้องไม่เคยให้ความยินยอมหรือให้สัตยาบันในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยกระทำโดยพลการและนอกเหนืออำนาจผู้จัดการมรดก โจทก์จะบังคับให้จำเลยโอนที่ดินและส่งมอบการครอบครองที่ดินทั้งหมดแก่โจทก์ไม่ได้ ขอให้มีคำสั่งให้กันส่วนที่ดินที่จะบังคับคดีแก่ผู้ร้องสองในสามส่วน หากไม่สามารถแบ่งเป็นส่วนสัดได้ก็ขอให้ขายทอดตลาดที่ดินทั้งหมดแล้วกันเงินส่วนที่ได้จากการขายทอดตลาดสองในสามส่วนแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสดกูรมะโรหิต หากผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องก็ไม่ได้มีสินเดิมแต่ฝ่ายเดียวนายสดก็มีสินเดิมก่อนสมรสเช่นกัน ที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ใช่สินสมรส แต่เป็นสินส่วนตัวของนายสดแต่ผู้เดียว นายสดทำสัญญาจะขายที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์เมื่อปี 2515 เมื่อนายสดถึงแก่ความตาย โจทก์ได้บอกกล่าวให้ทายาทของนายสดทุกคนรวมทั้งผู้ร้องให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบการครอบครองที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายแก่โจทก์ พร้อมรับชำระเงินค่าที่ดิน แต่ทายาทของนายสดทั้งหมดปฏิเสธโจทก์จึงฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสดต่อศาลชั้นต้น ต่อมามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมและมีการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ผู้ร้องและทายาทของนายสดทุกคนทราบดีไม่ได้โต้แย้งหรือคัดค้านจนกระทั่งคดีถึงที่สุด จำเลยจะต้องโอนที่ดินงวดที่สามแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกา ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องเข้ามา และที่ผู้ร้องกับพวกฟ้องจำเลยให้แบ่งสินสมรสและมรดกก็เป็นการฟ้องแก้เกี้ยวเพื่อจะอ้างเป็นเหตุมาร้องขอกันส่วน ที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความมีชื่อนายสดเป็นเจ้าของ ไม่มีชื่อผู้ร้อง นายสดจึงทำสัญญาจะซื้อจะขายได้โดยลำพังไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้อง สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างนายสดกับโจทก์ใช้บังคับกันได้และผูกพันทายาทนายสดรวมทั้งผู้ร้องด้วย จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสดเป็นการจัดการแทนทายาทของนายสดรวมทั้งผู้ร้อง สัญญาประนีประนอมยอมความจึงผูกพันทายาทของนายสดและผู้ร้อง ผู้ร้องขอกันส่วนตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันเป็นข้อหาและเหตุเดียวกับที่จำเลยได้ต่อสู้มาโดยตลอด และที่ผู้ร้องกับทายาทฟ้องโจทก์และโจทก์กับพวกรวมอีกห้าสำนวน จึงเป็นการร้องหรือฟ้องซ้ำ ที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความงวดที่หนึ่งจำเลยโอนแก่โจทก์ โจทก์โอนต่อให้นายสุรัศมิ์พรรณดุลยจินดา และที่ดินงวดที่สามศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินโอนให้แก่โจทก์แล้วสภาพแห่งหนี้จึงไม่เปิดช่องให้ศาลบังคับได้ตามคำร้องของผู้ร้อง และคดีผู้ร้องขาดอายุความ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วน ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องถึงแก่ความตาย นางอัปสร กูรมะโรหิตบุตรของผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน และโจทก์ตกเป็นคนไร้ความสามารถนางสุพรรณรัศมิ์ ศิริหงษ์ กับนายสุรัศมิ์พรรณ ดุลยจินดา ผู้อนุบาล ยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณา โจทก์ถึงแก่ความตาย นายสุรัศมิ์พรรณ ดุลยจินดา ทายาทของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสด กูรมะโรหิต ผู้ตายซึ่งจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2478 ตามสำเนาทะเบียนการสมรสเอกสารหมาย ร.1ผู้ร้องและผู้ตายร่วมกันซื้อและจับจองที่ดินพิพาทมาตั้งแต่ปี 2490 แล้วใส่ชื่อผู้ตายเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวโดยผู้ร้องมีสินเดิม แต่ผู้ตายไม่มีสินเดิม ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสซึ่งเป็นของผู้ร้องสองในสามส่วน อันเป็นส่วนหนึ่งของสินบริคณห์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม มาตรา 1462 วรรคสอง และไม่ปรากฏว่าผู้ร้องกับผู้ตายได้ทำสัญญาก่อนสมรสให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการสินบริคณห์หรือให้จัดการร่วมกับผู้ตายที่ดินพิพาทไม่ใช่สินเดิมของผู้ร้องหรือสินสมรสที่ผู้ร้องได้มาโดยทางยกให้หรือพินัยกรรมและการจำหน่ายที่ดินพิพาทมิใช่ เป็นการยกให้โดยเสน่หา ผู้ตายจึงมีอำนาจจัดการสินบริคณห์ได้แต่ผู้เดียวโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม มาตรา 1468 และ 1473 วรรคหนึ่งซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะนั้น ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2521 ผู้ตายถึงแก่ความตาย และศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายให้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์และรับชำระค่าที่ดินโดยอ้างว่าผู้ตายทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เมื่อปี 2515 เป็นคดีนี้ ต่อมาจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ยอมโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ยอมโอนที่ดินงวดที่สามให้โจทก์ โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดีผู้ร้องจึงยื่นคำร้องขอกันส่วนที่ดินที่โจทก์จะบังคับคดีออกเป็นของผู้ร้องสองในสามส่วน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องขอกันส่วนที่ดินพิพาทสองในสามส่วนได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อผู้ตายมีอำนาจจัดการสินบริคณห์ได้แต่ผู้เดียวตามกฎหมายผู้ตายย่อมมีอำนาจจำหน่ายที่ดินที่พิพาทได้ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม มาตรา 1468 และ 1473 วรรคหนึ่ง ผู้ตายจึงมีอำนาจทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์รวมทั้งในส่วนที่เป็นสินสมรสของผู้ร้องให้แก่ผู้อื่นได้โดยลำพัง โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ร้องก่อน และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1600 บัญญัติว่า …กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตายตลอดทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดต่าง ๆ …ดังนั้น เมื่อผู้ตายทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ในปี 2515 และผู้ตายถึงแก่ความตายปี 2521 สิทธิในการรับชำระเงินและหน้าที่ในการโอนกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ผู้ตายทำไว้ก่อนตายดังกล่าวจึงเป็นกองมรดกของผู้ตาย การที่โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายอ้างว่า ผู้ตายทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ก่อนถึงแก่ความตายแต่ผิดสัญญาไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทและรับค่าที่ดินไปจากโจทก์ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์เรียกร้องสิทธิในฐานะเจ้าหนี้กองมรดกของผู้ตายเพื่อบังคับต่อทายาทหรือผู้จัดการมรดกของผู้ตายให้โอนที่ดินพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ได้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่จะต้องโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์การที่จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีแต่ในที่สุดก็ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโอนที่ดินพิพาทแก่โจทก์ จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกในการจัดการทรัพย์สินของผู้ตายเพื่อชำระหนี้ของผู้ตายที่ผู้ตายมีความรับผิดอยู่ก่อนตาย และเพื่อนำทรัพย์สินที่เหลือมาจัดการแบ่งปันแก่ทายาทของผู้ตายตามกฎหมายอันเป็นการจัดการทรัพย์มรดกในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามหน้าที่ที่จำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 หาใช่เป็นการกระทำเกินอำนาจของผู้จัดการมรดกตามที่ผู้ร้องอ้างไม่ เมื่อศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ คดีจึงต้องฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาตามยอมนั้น ผู้ร้องไม่อาจยกขึ้นกล่าวอ้างอีกว่า ผู้ตายไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทกับโจทก์ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอมโดยไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทในงวดที่สามให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมขอให้บังคับคดีให้จำเลยดำเนินการโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ได้ และแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าผู้ร้องมีสิทธิในที่ดินพิพาทสองในสามส่วนก็ตามก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะต้องเรียกร้องหรือว่ากล่าวแก่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายให้นำค่าที่ดินพิพาทที่โจทก์ชำระตามคำพิพากษาตามยอมมาแบ่งให้แก่ผู้ร้องตามสิทธิที่มีอยู่ดังกล่าวก่อนแบ่งปันมรดกแก่ทายาทผู้ตายผู้ร้องหาได้เสียสิทธิเพราะเหตุที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้ทำตามอำนาจหน้าที่ไม่สิทธิของผู้ร้องมีอยู่อย่างไรก็มีอยู่อย่างนั้น ผู้ร้องจึงไม่อาจขอกันส่วนที่ดินพิพาทตามคำร้องได้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน