แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อที่ว่าตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้อง ไม่มีวันเดือนปีที่ทำสัญญาดังที่โจทก์บรรยายในฟ้อง จะรับฟังว่าโจทก์มีหลักฐานเป็นหนังสือไม่ได้นั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ และไม่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
ตามสัญญากู้ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ เพียงแต่กำหนดไว้ว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ทุกเดือน โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ร้อยละ 15 ต่อปีศาลพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยฎีกาว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว ประเด็นข้อนี้จึงยุติไปแล้ว จำเลยจะหยิบยกขึ้นฎีกาอีกหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป 40,000 บาท เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม2509 สัญญาจะให้ดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาทต่อเดือน ครบกำหนดชำระแล้ว จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยชำระเงินต้น 40,000 บาท กับดอกเบี้ยที่ค้างถึงวันฟ้องอีก12,800 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากเงินตน 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
จำเลยให้การว่าไม่ได้กู้และไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ที่โจทก์ฟ้อง แต่เมื่อปีพ.ศ. 2505 จำเลยเคยกู้เงินโจทก์ 40,000 บาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีและจำเลยได้ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ไปครบถ้วนแล้ว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปตามฟ้องจริง แต่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญากู้ เพียงแต่กำหนดไว้ว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ทุกเดือนไป จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม2509 แต่ตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้องไม่ปรากฏว่ามีวันเดือนปีที่ทำสัญญากู้จึงรับฟังว่าโจทก์มีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าข้อนี้จำเลยมิได้ต่อสู้คดีไว้ และไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งไม่เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตามคำขอท้ายฟ้องขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาเห็นว่าดอกเบี้ยเกิดขึ้นจากสัญญา และจะต้องระบุอัตราว่าจะเสียดอกเบี้ยกันอย่างไร ทั้งนี้ ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 แต่ปรากฏว่าสัญญากู้รายนี้ ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ เพียงแต่กำหนดไว้ว่าผู้กู้ยอมให้ดอกเบี้ยแก่ผู้ให้กู้ทุกเดือนไปซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บัญญัติไว้ว่าให้ใช้อัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จึงเป็นการชอบแล้ว ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วศาลฎีกาเห็นว่าประเด็นข้อนี้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วแต่ประการใด ประเด็นข้อนี้จึงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะหยิบยกขึ้นฎีกาอีกหาได้ไม่
พิพากษายืน