แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐเรียกเก็บเงินตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายจึงมิใช่บุคคลที่ทางราชการได้ตั้งแต่หรืออนุญาตให้จัดกิจกรรมเฉพาะบางอย่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(15) ซึ่งมีกำหนด อายุความ 2ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ศ. มีอำนาจหน้าที่ควบคุมการทำเหมืองแร่เก็บค่าภาคหลวงแร่และเรียกเก็บเงินแทนแร่จากผู้ทำเหมืองหรือผู้ซื้อแร่ที่มิได้ซื้อจากผู้ทำเหมืองเพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศตามอัตราและหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกฎกระทรวงในกรณีที่การเรียกเก็บเงินแทนแร่ไม่อาจกระทำได้ตามกำหนดเวลา โจทก์มีอำนาจกู้ยืมเงินเพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนได้แล้วเรียกเก็บเงินแทนแร่จากผู้ทำเหมืองรวมถึงดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายต่างๆด้วยทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติควบคุมแร่ดีบุก พ.ศ.2514 จำเลยเป็นผู้ทำเหมืองโดยได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ดีบุกและตะกั่ว จำเลยได้ยื่นคำขอใบอนุญาตขนแร่ดีบุกปนตะกั่วต่อโจทก์และได้รับใบอนุญาตขนแร่จากโจทก์ให้ขนแร่ดีบุกปนตะกั่วจากเหมืองไปขาย จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องชำระเงินแทนแร่ให้แก่โจทก์ เมื่อโจทก์ออกใบอนุญาตขนแร่ให้จำเลยแต่ละคราวเพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศ แต่จำเลยยังไม่ได้ชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์กู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศแทนจำเลยไปแล้ว โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยนำเงินแทนแร่ที่ต้องชำระไปชำระให้แก่โจทก์ จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,002,823.16 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องเรียกเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนไม่ถูกต้องตามอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ กล่าวคือในฟ้องโจทก์ไม่ได้ระบุว่าจำเลยทำแร่ดีบุกไปจำนวนเท่าใดและจะต้องชำระเงินแทนแร่เพื่อส่งเข้ามูลภัณฑ์กันชนในอัตราเท่าไรของจำนวนแร่ดีบุก เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินแทนจำเลยไปแล้วเกินกว่า 2 ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 867,960 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 134,863.16 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,002,823.16 บาท ให้แก่โจทก์ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 867,960 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ออกเงินทดรองแทนจำเลยเพื่อชำระเงินเข้ามูลภัณฑ์กันชนระหว่างประเทศมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15) ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เป็นหน่วยงานของรัฐเรียกเก็บเงินจากจำเลยตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติควบคุมแร่ดีบุก พ.ศ.2514 มาตรา 24 โจทก์จึงมิใช่บุคคลที่ทางราชการได้ตั้งแต่งหรืออนุญาตให้จัดกิจการเฉพาะบางอย่างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(15) ซึ่งมีกำหนดอายุความ 2 ปี ดังที่จำเลยฎีกา ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน