คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4689/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาหมาย จ. 6 โจทก์เป็นผู้ร่างขึ้น จำเลยได้ทักท้วงสัญญาข้อที่ 8 ไว้ก่อนลงนามในสัญญาแล้ว แต่โจทก์ยังคงกำหนดข้อสัญญาข้อนี้ไว้เพื่อเอาเปรียบจำเลย สัญญาข้อนี้จึงเป็นสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ขัดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 จึงตกเป็นโมฆะ นั้น ในปัญหาข้อนี้ เดิมเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในครั้งแรกด้วยเหตุที่ว่า ข้อสัญญาข้อ 8 เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ศาลอุทธรณ์ได้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยวินิจฉัยว่าข้อสัญญาดังกล่าวไม่เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่น ๆ ตามรูปคดี จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 29,400 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยวินิจฉัยว่าสัญญาตามเอกสารหมาย จ. 5 ไม่เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่น ๆ ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 24,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 เมษายน 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 2,000 บาท ค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลให้ใช้แทนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาตั้งให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินโฉนดเลขที่ 2022858 พร้อมบ้านราคา 980,000 บาท โดยมีค่าบำเหน็จอัตราร้อยละ 3 ของราคาทรัพย์ที่ขาย และกำหนดเวลาสิ้นสุด 180 วันนับแต่วันทำสัญญา ตามสัญญาข้อที่ 8 ระบุว่า “ผู้จะขายให้สัญญาว่าในระหว่างที่สัญญาฉบับนี้ยังไม่ครบกำหนด ผู้จะขายจะไม่ตั้งบุคคลอื่นเป็นตัวแทนหรือทำการใดเพื่อจัดหาผู้ซื้อขึ้นอีก หากผู้ขายจะฝ่าฝืนและมีการขายหรือแลกเปลี่ยนทรัพย์สินโดยเหตุดังกล่าว ผู้จะขายยินยอมจ่ายค่าบำเหน็จตัวแทนให้แก่ตัวแทนตามจำนวนเงินและอัตราบำเหน็จในข้อ 1 และข้อ 2 ของสัญญานี้” รายละเอียดตามสัญญาแต่งตั้งตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์เอกสารหมาย จ. 5 ต่อมาวันที่ 5 พฤศจิกายน 2541 ก่อนครบกำหนดเวลาสิ้นสุดการเป็นนายหน้า จำเลยได้ปฏิบัติผิดสัญญาข้อ 8 โดยได้ขายที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้แก่นายเกียรติชัยและนางกัณฐาภรณ์ ราคา 800,000 บาท ตามสำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ. 6 ที่จำเลยฎีกาทำนองว่า สัญญาแต่งตั้งตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์เอกสารหมาย จ. 5 โจทก์เป็นผู้ร่างขึ้น จำเลยได้ทักท้วงสัญญาข้อที่ 8 ไว้ก่อนลงนามในสัญญาแล้ว แต่โจทก์ยังคงกำหนดข้อสัญญาข้อนี้ไว้เพื่อเอาเปรียบจำเลย สัญญาข้อนี้จึงเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ขัดต่อ พ.ร.บ. ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 จึงตกเป็นโมฆะนั้น ในปัญหาข้อนี้เดิมเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในครั้งแรกด้วยเหตุที่ว่า ข้อสัญญาข้อ 8 เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ศาลอุทธรณ์ได้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยวินิจฉัยว่าข้อสัญญาดังกล่าวไม่เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ในประเด็นอื่น ๆ ตามรูปคดี จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยจะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นฎีกาอีกไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในปัญหาข้อนี้ให้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเบี้ยปรับแก่โจทก์ 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share