แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็น 2 กระทงแต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนาทำร้าย และไม่มีเจตนาที่จะขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน กับฎีกาขอให้ลดโทษและขอรอการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงนายสมบัติ เมืองสองสี โดยมีเจตนาฆ่าและนายสมบัติถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ขณะเกิดเหตุสิบตำรวจโทสุวรรณ เครือทอง เจ้าพนักงานตำรวจจะเข้าจับกุมจำเลย จำเลยต่อสู้ขัดขวางโดยใช้มีดปลายแหลมแทงสิบตำรวจโทสุวรรณหลายครั้ง แต่แทงไม่ถูกเพราะสิบตำรวจโทสุวรรณหลบเสียทัน ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๒๐๘, ๒๘๙ (๒), ๓๗๑, ๘๐, ๙๑ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๑ ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๔ ริบมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๗๒ จำคุก ๔ ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ และมาตรา ๒๙๖ ประกอบมาตรา ๘๐ อันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย ๒ บท แต่โทษเท่ากันทั้ง ๒ บท จึงลงโทษบทเดียวจำคุก ๑ ปี และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๗๑ ลงโทษปรับ๑๐๐ บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงปรับ ๕๐ บาท รวมจำคุก ๕ ปี และปรับ ๕๐ บาท ของกลางให้ริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็น ๒ กระทง แต่ละกระทงมีโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงเป็นคดีที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ที่จำเลยฎีกาว่าขณะที่สิบตำรวจโทสุวรรณจะเข้าจับกุมจำเลย สิบตำรวจโทสุวรรณมิได้แต่งเครื่องแบบหรือแสดงตัวให้จำเลยทราบว่าเป็นตำรวจ จำเลยจึงแกว่งมีดเพื่อป้องกันตัว โดยจำเลยไม่มีเจตนาที่จะทำร้าย และไม่มีเจตนาที่จะขัดขวางการจับกุม และจำเลยฎีกาขอให้ลดโทษให้แก่จำเลย กับขอรอการลงโทษล้วนเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาจำเลย