คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4681-4682/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ 3 ขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาเป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายและวิธีพิจารณาความรวมหลายประการ จึงเป็นการเพิ่มประเด็นจากที่ฎีกาไว้เดิม การขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ 3 จึงต้องอยู่ในบังคับอายุฎีกาหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ดังนั้นการที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ 3 ขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาเมื่อล่วงเลยกำหนดอายุฎีกาแล้ว จึงรับไว้เป็นส่วนหนึ่งของฎีกาเดิมไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนต่อมาภายหลังจากที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว เป็นการไต่สวนเพื่อหาความจริงเรื่องละเมิดอำนาจศาลตามอำนาจของศาลชั้นต้น จึงไม่ใช่เป็นการสืบพยานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการสืบพยานแทนจำเลยเพื่อหักล้างคำฟ้องของโจทก์ดังที่โจทก์ฎีกา การรับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ใช่ผู้กระทำผิดเป็นเรื่องของผลซึ่งเกิดขึ้นจากการไต่สวนดังกล่าวแล้วนั้นเอง เมื่อข้อเท็จจริงจากการไต่สวนรับฟังได้ว่าจำเลยเข้ามารับสมอ้างว่าเป็นผู้กระทำผิด ย่อมเป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปตามความเที่ยงธรรมได้ การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีและจำหน่ายเครื่องกระสุนปืนหลายชนิดสำหรับการค้ากับทำส่งนำเข้าและค้าซึ่งดอกไม้เพลิงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และริบของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิจารณาและทำการไต่สวนกรณีละเมิดอำนาจศาลแล้วฟังว่าจำเลยมิได้กระทำผิด พิพากษายกฟ้อง และมีคำสั่งลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามในข้อหาละเมิดอำนาจศาล

โจทก์ ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้กระบวนพิจารณาในชั้นฎีกาจะไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาว่า ให้คู่ความกระทำได้หรือไม่เพียงใดรวมทั้งกำหนดเวลาแห่งการนั้น แต่ก็เห็นว่ากรณีที่กฎหมายไม่มีบทห้ามเช่นนี้ คู่ความที่จะแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาที่ยื่นไว้แล้วได้ แต่ไม่หมายความว่าจะแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาได้โดยไม่มีกำหนดเวลาข้อความที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ 3 ขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาเป็นเรื่องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายและวิธีพิจารณาความรวมหลายประการ จึงเป็นการเพิ่มประเด็นจากที่ฎีกาไว้เดิม การขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ 3 จึงต้องอยู่ในบังคับอายุฎีกาหนึ่งเดือนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216 ดังนั้นการที่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ที่ 3 ขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาเมื่อล่วงเลยกำหนดอายุฎีกาแล้วจึงรับไว้เป็นส่วนหนึ่งของฎีกาเดิมไม่ได้

ผลจากการไต่สวนในเรื่องละเมิดอำนาจศาลซึ่งเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นดังกล่าวแล้ว รับฟังเอาเป็นยุติแน่นอนไม่ได้ว่า จำเลยชื่ออะไรและเป็นใครกันแน่ แต่ก็รับฟังได้แน่ชัดจากการไต่สวนก็คือจำเลยไม่ใช่เจ้าของกระสุนปืน รวมทั้งแก๊ปและดอกไม้เพลิงของกลางทั้งสามกล่อง จำเลยจึงไม่ใช่ผู้กระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง ส่วนจำเลยจะเป็นใครมาจากไหนไม่จำต้องวินิจฉัยที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยจะให้การอย่างไรเป็นสิทธิของจำเลยแม้จะให้การโกหกก็ตาม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ และโจทก์จำเลยต่างไม่ติดใจสืบพยานต่อไป ศาลย่อมพิพากษาได้ทันที การที่ศาลทำการสืบพยานเองโดยโจทก์จำเลยไม่สืบพยานจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่าการที่ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนต่อมาภายหลังจากที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว เป็นการไต่สวนเพื่อหาความจริงเรื่องละเมิดอำนาจศาลตามอำนาจของศาล จึงไม่ใช่เป็นการสืบพยานการไต่สวนดังกล่าวเป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะกระทำได้เอง ไม่เกี่ยวกับการสืบพยานของโจทก์จำเลยจึงไม่ใช่เป็นการสืบพยานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการสืบพยานแทนจำเลยเพื่อหักล้างคำฟ้องของโจทก์ดังที่โจทก์ฎีกา การรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้วเป็นเรื่องของผลซึ่งเกิดขึ้นจากการไต่สวนดังกล่าวแล้วนั่นเอง เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยเข้ามารับสมอ้างเป็นเจ้าของของกลางการเข้ามารับสมอ้างของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นเหตุให้ผู้กระทำผิดที่แท้จริงไม่ต้องถูกลงโทษทำให้กระบวนพิจารณาไม่อาจดำเนินไปตามความเที่ยงธรรมได้การกระทำของจำเลยซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

พิพากษายืน

Share