แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ผู้ร้องที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เมื่อ 4 ธันวาคม 2504บ้านพิพาทปลูกในระหว่าง พ.ศ. 2517 ถึง 2524 หลังจากที่ผู้ร้องที่ 1ซื้อที่ดินแปลงที่ปลูกบ้านมาเมื่อ พ.ศ. 2517 แล้ว จึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องที่ 1 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สมรสกันได้มาระหว่างสมรสอันเป็นสินสมรส ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1474(1) เมื่อผู้ร้องที่ 1และจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่ากัน ป.พ.พ. มาตรา 1533 บัญญัติให้แบ่งสินสมรสให้ชาย และหญิงได้ส่วนเท่ากัน เมื่อยังไม่มีการแบ่งบ้านอันเป็นสินสมรสนั้นจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องที่ 1 และจำเลยที่ 1เป็นเจ้าของร่วมกัน.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ให้โจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ จำเลยที่ 1ไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 145 ไร่ซึ่งอยู่ที่หมู่ที่ 1 ตำบลน้ำสุด อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรีพร้อมบ้านไม้ 1 หลัง ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว กับโอ่งน้ำ 1 ใบและเสาไม้แก่น 10 ต้น ของจำเลยที่ 1
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้นั้นเป็นของผู้ร้องทั้งสอง ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ขอให้ปล่อยทรัพย์ดังกล่าว
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องที่ 1 ทำมาหาได้ร่วมกันมาในระหว่างที่เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่ทรัพย์ของผู้ร้องที่ 2 หนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ร่วมผู้ร้องที่ 1 จะต้องรับผิดด้วย ผู้ร้องที่ 1 จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2528 เพื่อยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไม่ให้โจทก์บังคับคดี
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีจากที่ดินพิพาท ส่วนบ้าน โอ่งน้ำ และเสาไม้แก่นพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องที่ 1 กับจำเลยที่ 1มีคำสั่งให้ปล่อยที่ดินพิพาท ยกคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินอื่น
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของผู้ร้องทั้งสองคงโต้แย้งเพียงว่า บ้าน โอ่งน้ำ และเสาไม้แก่นพิพาทเป็นของผู้ร้องที่ 1 แต่ผู้เดียว ผู้ร้องที่ 2 มิได้โต้แย้งว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องที่ 2 ด้วย ข้อโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องที่ 2 ตามคำร้องจึงยุติลงเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องที่ 1 และจำเลยที่ 1 เพราะในชั้นอุทธรณ์ผู้ร้องที่ 2 ก็มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องที่ 2 ดังนั้น ผู้ร้องที่ 2จึงไม่มีสิทธิฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของผู้ร้องที่ 1 แต่ผู้เดียว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คดีคงมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องที่ 1 ว่า บ้าน โอ่งน้ำและเสาไม้แก่นพิพาทเป็นของผู้ร้องที่ 1 แต่ผู้เดียวหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้ร้องที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2504 ตามที่ปรากฏหลักฐานในทางทะเบียนการหย่าเอกสารหมาย จ.2 แผ่นที่ 2 ผู้ร้องที่ 1 ย้ายชื่อเข้าทะเบียนบ้านพิพาทเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2524 ตามหลักฐานเอกสารหมาย ร.1 แสดงว่าบ้านพิพาทปลูกขึ้นในระหว่าง พ.ศ. 2517 ถึง พ.ศ. 2524 หลักจากที่ผู้ร้องที่ 1 ซื้อที่ดินแปลงที่ปลูกบ้านมาเมื่อ พ.ศ. 2517 แล้วจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องที่ 1 และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นคู่สมรสกันได้มาระหว่างสมรส อันเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1474(1) เมื่อผู้ร้องที่ 1 มิได้นำสืบให้เป็นอย่างอื่นจึงต้องฟังว่าบ้านพิพาทเป็นสินสมรส และเมื่อผู้ร้องที่ 1 และจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่ากัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533บัญญัติให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน เมื่อยังไม่มีการแบ่งบ้านอันเป็นสินสมรสนั้นจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกัน หาใช่ทรัพย์สินของผู้ร้องที่ 1แต่ผู้เดียวไม่…”
พิพากษายกฎีกาของผู้ร้องที่ 2 และพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 1.