คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อบังคับองค์การเหมืองแร่ในทะเลจำเลยว่าด้วยเงิน ช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลและเงินช่วยเหลือในการคลอดบุตรระบุว่า ในกรณีฉุกเฉินที่ผู้ป่วยไม่สามารถไปสถานพยาบาลขององค์การเหมืองแร่ในทะเลหรือสถานพยาบาลของส่วนราชการได้ทันท่วงที ผู้ป่วยจะเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลของเอกชนก็ได้ ได้ความว่า บ. มารดาโจทก์มีอายุ 83 ปีแล้วมีโรคประจำตัวคือเบาหวานและความดันโลหิตสูง เกิดมีอาการไข้ไม่ค่อยจะรู้สึกตัวและอาเจียนติดต่อกัน 4 ครั้งโดยเฉียบพลันในเวลาดึก ถ้าปล่อยให้มีอาการไข้สูงและอาเจียนมากกว่านี้โดยไม่ได้รับการรักษาโดยทันที อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต เช่นนี้อาการเจ็บป่วยของ บ. เป็นกรณีฉุกเฉินที่ผู้ป่วยไม่สามารถไปสถานพยาบาลขององค์การเหมืองแร่ในทะเลหรือสถานพยาบาลส่วนราชการได้ทันท่วงที จึงเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลเอกชนตามข้อบังคับดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 และโดยที่จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2จึงมีฐานะเป็นนายจ้างของโจทก์ด้วย เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2533ถึงวันที่ 12 มีนาคม 2533 นางบุญสม ส่งสวัสดิ์ มารดาโจทก์ซึ่งเจ็บป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ โลหิตเลี้ยงสมองไม่เพียงพอความดันโลหิตสูง เบาหวาน ต้องเข้ารับการรักษาด้วยเหตุฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเพชรเวชและได้เสียค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน30,434 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2533 โจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยทั้งสองจ่ายเงินช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลซึ่งโจทก์มีสิทธิได้รับตามข้อบังคับองค์การเหมืองแร่ในทะเล ฉบับที่ 12ว่าด้วยเงินช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลและเงินช่วยเหลือในการคลอดบุตร และข้อบังคับองค์การเหมืองแร่ในทะเลฉบับที่ 17 ว่าด้วยเงินช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลบิดามารดาของผู้ปฏิบัติงาน แต่จำเลยที่ 2 ไม่อนุมัติการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีที่มารดาโจทก์เจ็บป่วย
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีมารดาโจทก์เจ็บป่วยแก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อบังคับองค์การเหมืองแร่ในทะเลฉบับที่ 12 ว่าด้วยเงินช่วยเหลือในการรักษาพยาบาลและเงินช่วยเหลือในการคลอดบุตรข้อ 6(3) ระบุว่า “ในกรณีฉุกเฉินที่ผู้ป่วยไม่สามารถไปสถานพยาบาลขององค์การเหมืองแร่ในทะเล หรือสถานพยาบาลของส่วนราชการได้ทันท่วงที ผู้ป่วยจะเข้ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนก็ได้ แต่เมื่อผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในสถานพยาบาลของเอกชนแล้ว จะต้องรีบรายงานต่อผู้อำนวยการหรือดำรงตำแหน่งชั้นผู้อำนวยการฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป ซึ่งผู้อำนวยการมอบหมาย เพื่อให้ความเห็นชอบโดยเร็ว” คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่านางบุญสมมารดาโจทก์มีอายุ 83 ปีแล้ว มีโรคประจำตัวคือเบาหวานและความดันโลหิตสูง เกิดมีอาการไข้ไม่ค่อยจะรู้สึกตัวและอาเจียนติดต่อกัน 4 ครั้งโดยเฉียบพลันในเวลาดึก ถ้าปล่อยให้มีอาการไข้สูงและอาเจียนมากกว่านี้โดยไม่ได้รับการรักษาโดยทันที อาจเกิดอันตรายถึงชีวิต ซึ่งไม่อาจนำนางบุญสมไปสถานพยาบาลขององค์การเหมืองแร่ในทะเลหรือสถานพยาบาลของส่วนราชการได้ทันท่วงที นอกจากโรงพยาบาลเพชรเวชซึ่งเป็นสถานพยาบาลเอกชน จากข้อเท็จจริงที่ได้ความดังกล่าวเห็นได้ว่าอาการเจ็บป่วยของนางบุญสมมารดาโจทก์เป็นกรณีฉุกเฉินที่ผู้ป่วยไม่สามารถไปสถานพยาบาลขององค์การเหมืองแร่ในทะเล หรือสถานพยาบาลของส่วนราชการได้ทันท่วงทีจึงเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลเอกชน ตามข้อบังคับองค์การเหมืองแร่ในทะเลในข้อดังกล่าว”
พิพากษายืน

Share