แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องโจทก์อ้างว่า เดิมโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2033/2543 ของศาลชั้นต้น และได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว จำเลยไม่ยอมหักหนี้ในส่วนของโจทก์ แต่กลับดำเนินการบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของโจทก์ขายทอดตลาดเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรับว่าโจทก์ได้ชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลยแล้ว และให้จำเลยคิดยอดหนี้ที่ค้างชำระเพื่อโจทก์จะได้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือต่อไปนั้น เห็นได้ว่าคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ล้วนแต่เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งคำฟ้องเช่นว่านี้จำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลเสียก่อนที่การบังคับคดีจะดำเนินไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้อง โจทก์ต้องไปว่ากล่าวกันในคดีเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 302 ประกอบ มาตรา 7 (2) มิใช่ฟ้องเป็นคดีใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยยอมรับชำระหนี้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 โดยให้คิดยอดหนี้ที่ค้างชำระและรับชำระหนี้ต่อไป ให้จำเลยรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งสิ้นที่กระทำไปหลังการชำระหนี้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 โดยถือว่าโจทก์ชำระหนี้ตามคำบังคับในคดีเดิมแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นการโต้แย้งกันในชั้นบังคับคดี โจทก์ชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยในคดีดังกล่าว อีกทั้งคำขอบังคับของโจทก์เป็นกรณีไม่อาจบังคับให้ได้ จึงไม่รับคำฟ้อง จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คืนค่าขึ้นศาลแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องโจทก์ที่อ้างว่าเดิมโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาของโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2033/2543 ของศาลชั้นต้น ได้ชำระหนี้บางส่วนโดยมอบแคชเชียร์เช็คลงวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2548 จำนวนเงิน 1,000,000 บาท ให้ไว้แก่จำเลยแล้ว จำเลยไม่ยอมหักหนี้ในส่วนของโจทก์ แต่กลับดำเนินการบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของโจทก์ออกขายทอดตลาด เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงต้องนำมาฟ้องเป็นคดีนี้ ส่วนคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้จำเลยรับว่าโจทก์ได้ชำระหนี้บางส่วนแก่จำเลยแล้ว และให้จำเลยคิดยอดหนี้ที่ค้างชำระเพื่อโจทก์จะได้ชำระหนี้ส่วนที่เหลือต่อไปนั้น เห็นว่า คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ล้วนแต่เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งคำฟ้องของโจทก์เช่นว่านี้จำต้องมีคำวินิจฉัยของศาลเสียก่อนที่การบังคับคดีจะได้ดำเนินไปได้โดยครบถ้วนและถูกต้อง โจทก์จึงต้องไปว่ากล่าวกันในคดีเดิมในชั้นบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 302 ประกอบ มาตรา 7 (2) มิใช่ฟ้องเป็นคดีใหม่ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องโจทก์และให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ