คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4636/2551

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินโดยในสัญญากำหนดเรื่องการโอนไว้ว่า ผู้ขายจะโอนสิทธิให้ผู้ซื้อในภายหลังเมื่อผู้ซื้อต้องการให้โอน เป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลันตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคแรก สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงอาจบังคับได้ตั้งแต่วันทำสัญญา เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องบังคับตามสัญญาเกิน 10 ปีนับแต่วันทำสัญญา ฟ้องของโจทก์ย่อมขาดอายุความตามมาตรา 193/30
เมื่อโจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับให้โอนตามสัญญาได้เพราะคดีขาดอายุความ จึงมีผลให้ไม่อาจขอเพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างผู้ขายกับจำเลยที่ 2 และนิติกรรมที่จำเลยที่ 2 โอนขายที่ดินต่อไปให้จำเลยที่ 3 ได้ และแม้จำเลยที่ 3 มิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่เป็นกรณีเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษายกฟ้องไปถึงจำเลยที่ 3 ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนการให้ที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 4557 เล่ม 46 ข. หน้า 7 ตำบลอินคีรี อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ระหว่างนายจุ้ยหรือจุ่ยกับจำเลยที่ 2 และเพิกถอนการขายที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 4557 เล่ม 46 ข. หน้า 7 ตำบลอินคีรี อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราชระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจุ้ย หรือจุ่ยไปจดทะเบียนนิติกรรมโอนขายที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 4557 เล่ม 46 ณ สำนักงานที่ดินอำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้แก่โจทก์ 2 ไร่ หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 หากไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ให้จำเลยทั้งสามและกองมรดกของนายจุ้ยร่วมกันใช้ราคาที่ดินจำนวน 400,000 บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการให้ที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 4557 ระหว่างนายจุ้ยหรือจุ่ยกับจำเลยที่ 2 ให้เพิกถอนการขายที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 4557 ระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 3 และให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจุ้ยหรือจุ่ย ไปจดทะเบียนนิติกรรมโอนขายที่ดินตาม น.ส. 3 ก. เลขที่ 4557 ณ สำนักงานที่ดินอำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้แก่โจทก์ เนื้อที่ 2 ไร่ หากไม่ไปโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 3,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2530 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตาม น.ส. 3 เลขที่ 353 ตำบลอินคีรี อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราชกับนายจุ้ยหรือจุ่ย โดยโจทก์ซื้อเพียงบางส่วนเนื้อที่ 2 ไร่ มีข้อสัญญาว่าจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้เมื่อโจทก์แจ้งให้ดำเนินการโอน ต่อมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2539 นายจุ้ยถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกและศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดก
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือสัญญาการซื้อขาย มีข้อความว่า ผู้ขายจะโอนสิทธิให้แก่ผู้ซื้อในภายหลังเมื่อผู้ซื้อต้องการให้โอนแก่ผู้ซื้อ จึงเป็นกรณีเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 203 วรรคแรก สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงอาจบังคับได้ตั้งแต่วันทำสัญญา คือวันที่ 23 มิถุนายน 2530 โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 17 ธันวาคม 2541 เกินกำหนด 10 ปี จึงขาดอายุความตามมาตรา 193/30 โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามหนังสือสัญญาการซื้อขายได้ และย่อมมีผลให้ไม่อาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างนายจุ้ยกับจำเลยที่ 2 และระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ตามฟ้องได้ และถือว่าเป็นกรณีเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247 ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้ออื่นต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share