คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4674/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามข้อตกลงในสัญญาระบุกำหนดเวลาการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จะซื้อขายกันไว้ 2 ช่วง คือภายในวันที่ 2 มิถุนายน2528 ซึ่งเป็นกำหนดเวลาให้โจทก์ในฐานะผู้จะซื้อปฏิบัติชำระหนี้และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กัน มิฉะนั้นโจทก์จะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน 11,200 บาท และภายในวันที่ 2 กรกฎาคม2528 ซึ่งเป็นกำหนดเวลาช่วงสุดท้ายที่จะโอนกรรมสิทธิ์กันหากโจทก์ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ จำเลยในฐานะผู้จะขายมีสิทธิริบเงินมัดจำจำนวน 50,000 บาท ดังนี้ จำเลยยังไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำจนกว่าเวลาจะล่วงพ้นวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 อันเป็นกำหนดเวลาช่วงสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติชำระหนี้ต่อกัน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๘๔๕๖ ให้โจทก์ในราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ โดยจำเลยทั้งสองได้รับเงินมัดจำ ๕๐,๐๐๐ บาท ในวันทำสัญญา และตกลงกันว่าหากจำเลยทั้งสองไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ได้ในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ จำเลยทั้งสองต้องคืนเงินมัดจำ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย และยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์อีก๑๐๐,๐๐๐ บาท ครั้งถึงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ จำเลยทั้งสองไม่ไปทำสัญญาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายรวมเป็นเงิน ๑๕๐,๙๓๗ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน๑๕๐,๐๐๐ บาท นับจากวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามที่โจทก์ฟ้องจริง ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญาว่าหากโจทก์ผิดสัญญาไม่ชำระเงินและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ โจทก์ยินยอมชำระค่าเสียหายให้จำเลยเป็นเงิน ๑๑,๒๐๐ บาท และหากโจทก์ยังไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์กันภายในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ โจทก์ยินยอมให้จำเลยริบมัดจำทั้งหมด แต่เมื่อครบกำหนดเวลาในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ โจทก์ยังไม่สามารถหาเงินมาชำระและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาก่อนถึงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ครบกำหนดนัดชำระเงินและโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญา โจทก์ได้มาขอเลื่อนเวลานัดไปถึงวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๒๘ โดยเหตุว่ายังหาเงินไม่ทัน จำเลยตกลงยินยอม แต่โจทก์ยังไม่สามารถหาเงินมาชำระให้จำเลยภายในกำหนดเวลาที่ขอเลื่อนดังกล่าว จำเลยจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบมัดจำ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๘๘,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๒๗ จนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายต่อกันซึ่งจำเลยตกลงจะขายที่ดินมีโฉนดพร้อมบ้านให้แก่โจทก์ ปรากฏรายละเอียดตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.๑ แต่มิได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ โดยต่างฝ่ายอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญา ในปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยไม่ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตามที่กำหนดไว้ในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ นั้น สัญญาฉบับพิพาทระบุข้อตกลงเกี่ยวกับกำหนดเวลาการโอนกรรมสิทธิ์ไว้ว่า
๓. ผู้จะซื้อและผู้จะขายนัดโอนกรรมสิทธิ์กันภายในวันที่ ๒กรกฎาคม ๒๕๒๘ ถ้าผู้จะซื้อไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ ผู้จะซื้อยินยอมที่จะชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้จะขายเป็นจำนวน ๑๑,๒๐๐ บาท ทันที ถ้าผู้จะขายไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ผู้จะขายยินยอมที่จะคืนเงินมัดจำให้แก่ผู้จะซื้อพร้อมด้วยดอกเบี้ยพร้อมค่าเสียหายอีก ๑๐๐,๐๐๐ บาท
๕. ถ้าผู้จะซื้อยังไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์กันภายในวันที่ ๒กรกฎาคม ๒๕๒๘ ผู้จะซื้อยินยอมให้ผู้จะขายริบเงินมัดจำทั้งหมด
ตามข้อตกลงที่ระบุในสัญญาข้อ ๓ ซึ่งระบุกำหนดเวลาการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ไว้ ๒ ช่วง คือภายในวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นกำหนดเวลาให้โจทก์ในฐานะผู้จะซื้อปฏิบัติชำระหนี้ และภายในวันที่๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ซึ่งเป็นกำหนดเวลาช่างสุดท้ายที่โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์กันรวมทั้งข้อกำหนดของสัญญาเกี่ยวกับเงินมัดจำและค่าเสียหายในกรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญานั้น เห็นว่าข้อสัญญาดังกล่าวกำหนดให้โจทก์ในฐานะผู้จะซื้อปฏิบัติชำระหนี้โดยชำระราคาที่เหลือและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ภายในกำหนดเวลาไม่เกินวันที่๒ มิถุนายน ๒๕๒๘ มิฉะนั้นโจทก์ผู้จะซื้อจะต้องชำระค่าเสียหายให้แก่จำเลยทั้งสองเป็นเงิน ๑๑,๒๐๐ บาท แต่ฝ่ายจำเลยในฐานะผู้จะขายซึ่งริบเงินมัดจำไว้จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท จะยังไม่มีสิทธิริบเงินมัดจำจนกว่าเวลาจะล่วงพ้นวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘ อันเป็นกำหนดเวลาช่วงสุดท้ายที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องปฏิบัติชำระหนี้ต่อกัน
พิพากษายืน.

Share