คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5845/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อความที่เป็นข้อสำคัญในคดีในความผิดฐานเบิกความเท็จจะต้องเป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันใน ประเด็นแห่งคดีได้
ประเด็นแห่งคดีในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น ได้แก่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่อย่างไรสำหรับคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่ว่า ร้านวีดีโอที่โจทก์กับพวกตรวจค้นเป็นของ ว. เช่าจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ก็แจ้งโจทก์ว่าให้เช่าไปแล้วพร้อมกับนำสัญญาเช่าให้ดูด้วย แล้วโจทก์สั่งให้จำเลยที่ 1 ไปสถานีตำรวจ เมื่อไปถึงโจทก์ให้พนักงานสอบสวนควบคุมตัวจำเลยที่ 1 นั้น แม้เป็นความเท็จ ความจริงไม่มีการนำเอาเอกสารสัญญาเช่ามาแสดง การจับกุมก็กระทำที่ร้านนั่นเองมิใช่ตั้งข้อหาที่สถานีตำรวจ แต่คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร คงรับฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ 1 แล้วว่า มีการให้เช่าร้านวีดีโอกันแล้วเท่านั้นมิได้หมายความเลยไปถึงว่า ความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ 1 แจ้งแก่โจทก์ และโจทก์ทราบความจริงว่าเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่ยังแกล้งตั้งข้อหาและจับกุมจำเลยที่ 1 ข้อความที่จำเลยที่ 2 เบิกความดังกล่าว จึงไม่เป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๕, ๑๗๗, ๘๓, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การปฏิเสธ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้อง จำเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๗ วรรคสอง จำคุก ๒ ปี
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๕พฤศจิกายน ๒๕๒๗ เวลากลางวัน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจตำแหน่งรองสารวัตรแผนก ๒ กองกำกับการ ๒ กองปราบปราม กับพวกได้เข้าตรวจค้นร้านไทยสยามวีดีโอ ตามหมายค้นของผู้บังคับบัญชาและค้นพบม้วนวีดีโอเทปภาพยนต์ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นซึ่งได้ร้องทุกข์ไว้ กับม้วนวีดีโอเทปภาพยนตร์ลามกอนาจาร จึงยึดเป็นของกลางและแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ ๑ ว่า มีวีดีโอเทปภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อประโยชน์ในทางการค้า กับมีวีดีโอเทปภาพยนตร์ลามกอนาจารไว้จำหน่าย จ่ายแจก และแสดงแก่ประชาชน แล้วนำของกลางพร้อมผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลวัดรวกดำเนินคดี ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ฟ้องโจทก์ที่ศาลอาญาธนบุรีในข้อหาว่า เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ซึ่งในคดีดังกล่าวนั้นจำเลยที่ ๒ ได้เบิกความเป็นพยานของจำเลยที่ ๑ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า ร้านวีดีโอที่โจทก์กับพวกตรวจค้นเป็นของนายวันชัยเช่าจากจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ก็แจ้งโจทก์ว่าให้เช่าไปแล้วพร้อมกับนำสัญญาเช่าให้ดูด้วย แล้วโจทก์สั่งให้จำเลยที่ ๑ไปสถานีตำรวจ เมื่อไปถึงโจทก์ให้พนักงานสอบสวนคุมตัวจำเลยที่ ๑คำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวเป็นความเท็จ ความจริงไม่มีการนำเอาเอกสารสัญญาเช่ามาแสดง การจับกุมก็กระทำที่ร้านนั่นเองมิใช่ตั้งข้อหาที่สถานีตำรวจ คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงฟ้องคดีนี้
ปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกามีเพียงว่า ข้อความที่จำเลยที่ ๒เบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่ เห็นว่า ข้อความที่เป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ ซึ่งประเด็นแห่งคดีในคดีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้นได้แก่โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่อย่างไร สำหรับคำเบิกความของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวแม้จะฟังได้ว่าเป็นความจริง คดีก็ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่มิชอบอย่างไร คงรับฟังได้แต่เพียงว่าโจทก์ได้รับแจ้งจากจำเลยที่ ๑ แล้วว่ามีการให้เช่าร้านวีดีโอกันแล้วเท่านั้น มิได้หมายความเลยไปถึงว่า ความจริงเป็นดังที่จำเลยที่ ๑ แจ้งแก่โจทก์ และโจทก์ทราบความจริงว่าเป็นเช่นนั้นแล้วแต่ยังแกล้งตั้งข้อหาและจับกุมจำเลยที่ ๑ ข้อความที่จำเลยที่ ๒ เบิกความดังกล่าวจึงไม่เป็นข้อความที่อาจทำให้คู่ความแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีได้ คำเบิกความของจำเลยที่ ๒ จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี
พิพากษายืน.

Share