แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันปลอมหนังสือแล้วนำหลักฐานเท็จนี้มาฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้พรรณาฟ้องในความผิดฐานกระทำพะยานเท็จตาม ม.157 แล้ว +สินเกินคำขอโจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันกระทำผิดดังนี้ศาลจะลงโทษจำเลยโดยอาศัย ม.64 โดยฟังว่าได้มีการใช้ให้ไปกระทำผิด มิได้สมคบกันนั้นเป็นการตัดสินเกินคำขอ +การที่ศาลจะอนุญาตให้เลื่อนหรือไม่นั้นอยู่ในดุลยพินิจของ+
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันกระทำสัญญาปลอมขึ้น แล้วจำเลยที่ ๑-๒ สมคบกันนำหลักฐานเท็จนี้มายื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลเรียกเงินกู้ ๑๐๐๐ บาทแลดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้โดยสั่งว่าคดีมีมูลว่าจำเลยกระทำผิดตาม ม.๒๒๒-๒๒๔-๒๒๗ และ ๑๕๗
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง ให้จำคุกจำเลยทั้ง ๔ ตาม ม.๒๒๒-๒๒๔ คนละ ๒ ปี จำเลยที่ ๑-๒ มีผิดตาม ม.๖๓-๑๕๗-๑๕๕ อีกกะทง+ให้จำคุกคนละ ๑๔ ปี
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ ๒ นำสัญญาปลอมนี้มาอ้างเป็นพะยานหลักฐานในการฟ้องคดีแพ่ง จึงให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๕๕-๑๕๗ แล ๖๔
จำเลยฎีกาว่า ความผิดตาม ม.๑๕๗ โจทก์ไม่ได้พรรณามาในฟ้อง ศาลประทับฟ้องในมาตรา ๑๕๗ ไม่ถูก แลว่าศาลอุทธรณ์ยกมาตรา ๖๔ มาใช้ไม่ชอบ เพราะโจทก์มิได้พรรณามาในฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า การปลอมหนังสือสัญญากู้ก็เป็นการกระทำพะยานเท็จอยู่ในตัวแล้วแลตามฟ้องโจทก์ก็กล่าวว่าจำเลยมีเจตนาทุจจริตกระทำหลักฐานเท็จ แต่เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ ๑ โดยอาศัยมาตรา ๖๔ นั้นเป็นการเกินคำขอแลคำพรรณาในฟ้อง เพราะโจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันนำหลักฐานมายื่นฟ้องและโจทก์มิได้พรรณาว่าจำเลยที่ ๑ ใช้ให้จำเลยที่ ๒ กระทำความผิด จะลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรานี้ไม่ได้ นอกนั้นคงให้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์