แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ให้กู้ทำเอกสารให้ผู้กู้ว่า เมื่อได้รับเงินตามเช็คที่ผู้กู้เอาของคนภายนอกมาชำระให้ครบถ้วนแล้วจะคืนสัญญากู้ให้ทันที ดังนี้ ไม่ใช่แปลงหนี้ใหม่ เมื่อยังไม่ได้รับเงินตามเช็คผู้ให้กู้ฟ้องตามสัญญากู้เดิมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2496 จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ไปเป็นเงิน 16,300 บาท สัญญาจะให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จกำหนดชำระเงินต้นคืนในวันที่ 15 มิถุนายน 2496 ปรากฏหลักฐานตามสำเนาสัญญากู้ท้ายฟ้อง จำเลยได้ชำระต้นเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้โจทก์บ้างแล้ว ยังคงค้างชำระเงินต้นอยู่ 10,457 บาท และดอกเบี้ย 143 บาทรวมเป็นเงิน 10,600 บาท โจทก์ได้ทวงถามจำเลย ๆ ผัดผ่อนเรื่อยมา จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงินที่ค้างตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยให้การว่าได้ซื้อเชื่อข้าวสารจากนางเหลี่ยนภริยาโจทก์ต่อมาโจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไว้เป็นหลักฐานเป็นจำนวนเงิน 16,300 บาท จำเลยได้ผ่อนชำระให้นางเหลี่ยน ไปจนเหลือเพียง 10,500 บาท ต่อมาวันที่ 8 พฤศจิกายน 2497 นางเหลี่ยนได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ทำสัญญาแปลงหนี้เดิมมาเป็นหนี้ตามตั๋วเงิน ดังสำเนาสัญญาท้ายคำให้การจำเลย โดยฝ่ายโจทก์ยอมรับเช็คของนายเจริญ วิชัยรัตน์ 2 ฉบับ ๆ หนึ่งเงิน 3,000 บาท อีกฉบับหนึ่งเงิน 7,500 บาทเป็นการชำระหนี้แทนจำเลย หนี้ของจำเลยตามฟ้องจึงเป็นอันระงับ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ชั้นพิจารณา โจทก์ยอมรับรองเอกสารท้ายคำให้การจำเลยฉบับลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2497 ซึ่งศาลให้หมายเลข ล.1 และโจทก์ยอมรับว่าได้รับเงินตามเช็คหมายเลข 410384 จำนวน 3,000 บาท ตามที่ระบุในเอกสารหมาย ล.1 ไปแล้วจริง คู่ความต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้ศาลวินิจฉัยเอกสารหมาย ล.1 ว่าเป็นสัญญาแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ ถ้าศาลวินิจฉัยว่าเป็นสัญญาแปลงหนี้ใหม่ โจทก์ยอมแพ้ถ้าไม่ใช่สัญญาแปลงหนี้ใหม่ จำเลยยอมแพ้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าเอกสารหมาย ล.1 ไม่ใช่สัญญาแปลงหนี้ใหม่ระหว่างโจทก์กับนายเจริญเจ้าของเช็ค คงฟังได้เพียงเป็นหลักฐานแสดงว่า โจทก์ได้รับเช็คเพื่อการชำระหนี้เงินกู้เท่านั้น หนี้ระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังไม่ระงับ และฟังข้อเท็จจริงตามจำนวนที่โจทก์ร้องเพิ่มเติมฟ้องว่าจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ 10,600 บาท แต่เมื่อโจทก์ขอแก้ฟ้องโจทก์ไม่ได้แก้คำขอท้ายฟ้องและไม่ได้เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มขึ้นด้วย จึงคงบังคับได้เพียงจำนวน 8,906.68 บาท ซึ่ง เป็นจำนวนที่โจทก์ขอไว้เดิมพิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างแก่โจทก์เป็นเงิน 8,906 บาท 68 สตางค์ กับให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกับศาลชั้นต้นว่าเอกสารหมาย ล.1 หาใช่สัญญาแปลงหนี้ระหว่างโจทก์กับนายเจริญไม่ หนี้ตามสัญญาเดิมระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่ระงับ และฟังว่าจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ในวันทำเอกสารหมาย ล.1 เพียง 7,500 บาท จำเลยจึงต้องรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยต่อโจทก์เฉพาะในต้นเงิน 7,500 บาท นับจากวันทำเอกสารหมาย ล.1 เป็นต้นมา จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยใช้ต้นเงิน 7,500 บาทแก่โจทก์กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7 ครึ่งต่อปีนับจากวันที่ 8 พฤศจิกายน 2497 เป็นต้นมาจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยฎีกาว่าเอกสารหมาย ล.1 เป็นเอกสารแปลงหนี้
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว เอกสารหมาย ล.1 จะเรียกว่าเป็นเอกสารแปลงหนี้หรือไม่นั้น การแปลงหนี้เป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีระงับหนี้เก่าแล้วก่อให้เกิดหนี้ใหม่ขึ้นผูกพันกันแทน หนี้เดิมเป็นอันระงับไป แต่ตามเอกสารหมาย ล.1 ไม่มีลักษณะเป็นการแปลงหนี้ระหว่างโจทก์กับนายเจริญ วิชัยรัตน์ แต่ประการใด เพราะไม่มีการตกลงทำสัญญาแปลงหนี้กันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 349 ฟังได้แต่เพียงเป็นหลักฐานแสดงว่า โจทก์ได้รับเช็คเพื่อการชำระเงินกู้เท่านั้น ทั้งตามเอกสารหมาย ล.1 ระบุข้อความไว้ท้ายเอกสารว่า “เมื่อรับเงินตามเช็คดังกล่าวครบถ้วนแล้ว ข้าพเจ้าจะคืนสัญญาให้ทันที” เป็นการแสดงว่าโจทก์ยังสงวนสิทธิที่จะเรียกร้องหนี้ที่ยังไม่ได้ชำระครบถ้วนจากจำเลยได้ คือหนี้เดิมระหว่างโจทก์จำเลยยังหาระงับไปไม่ ถ้าจะว่าเป็นการแปลงหนี้ด้วยวิธีเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 ก็ไม่ปรากฏว่านายเจริญซึ่งเป็นลูกหนี้ใหม่ได้เข้ามาให้ความยินยอมทำสัญญากับโจทก์ด้วยซึ่งหนี้เดิมระหว่างโจทก์จำเลยยังคงมีอยู่ เอกสารหมาย ล.1 จึงไม่ใช่สัญญาแปลงหนี้ตามกฎหมายดังความเห็นของศาลอุทธรณ์ชี้ขาดมาชอบแล้ว
จึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์ 100 บาท