คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรมป่าไม้ฟ้องจำเลย 2 คนว่า เป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ยักยอกเอาเงินไป ครั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปตามลำพังแล้ว ในชั้นอุทธรณ์ฎีกาโจทก์กลับอ้างอีกว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อ ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินไปจะให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดด้วย ข้ออ้างดังนี้ย่อมเป็นการนอกประเด็น
กรมป่าไม้เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งว่า จำเลย 2 คนเป็นเจ้าพนักงานป่าไม้ร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารราชการแล้วยักยอกเงินขอให้บังคับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวนที่ยักยอกไปปรากฏว่าเรื่องนี้อัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญาแล้วคดียังไม่ถึงที่สุดต่อมาคดีอาญานั้นถึงที่สุดแล้วโดยศาลพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 เพราะฟังว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นผู้ยักยอกเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ปลอมแปลงเอกสารและยักยอกเงินตามลำพัง แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานและจะลงโทษฐานยักยอกก็ไม่ได้ เพราะไม่มีการร้องทุกข์จึงมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารราชการเท่านั้นดังนี้ ต้องถือว่าความเสียหายของโจทก์ ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินในคดีแพ่งนี้เป็นผลจากการที่จำเลยทำละเมิดโดยยักยอกเงินจะเอาเหตุที่ศาลลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารว่าเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อมิให้ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหาได้ไม่
บทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรคสองบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเสร็จเด็ดขาดไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 4 รวมทั้งกรณีที่มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาด้วยคดีนี้อัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกเงินและศาลพิพากษายกฟ้องจนคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้วกรณีจึงต้องตามบทบัญญัติวรรคสี่
อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานละเมิดซึ่งโจทก์ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 จึงต้องใช้อายุความตามมาตรา 1382 และ 1383

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานประจำสำนักงานป่าไม้จังหวัดตราด จำเลยที่ 2 ปฏิบัติราชการในหน้าที่พนักงานบำรุงป่าประจำด่านป่าไม้ จังหวัดตราด จำเลยทั้งสองร่วมกันทุจริตต่อหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารราชการ กรอกจำนวนเงินในต้นขั้วใบเสร็จรับเงินค่าซื้อไม้ป่าเลนน้อยกว่าปลายขั้วที่รับเงินจริงแล้วยักยอกเงินที่ผิดกันนี้เสียเป็นเงิน 138,138.91 บาท โจทก์ทราบการกระทำผิดของจำเลยเมื่อเดือนเมษายน 2502 ได้ร้องเรียนให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยและจำเลยต้องร่วมกันรับผิดใช้เงินให้โจทก์ ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงิน

จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้คดี

ศาลสั่งรอการพิจารณาไว้จนคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว โจทก์จำเลยแถลงรับกันดังนี้

(1) คดีนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีอาญา คดีถึงที่สุดแล้วคือ คดีแดงที่ 66/2504

(2) กรมป่าไม้โจทก์ได้ทราบพฤติการณ์การกระทำผิดของจำเลยทั้งสองในเดือนเมษายน 2502

(3) โจทก์เสียหายคิดเป็นเงิน 138,138.91 บาท

แล้วศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อปล่อยให้จำเลยที่ 2 ยักยอกเงินไป จึงต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 นั้น เห็นว่าโจทก์มิได้ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย ตามฟ้องมีแต่เพียงว่าจำเลยสมคบกันกรอกจำนวนเงินในต้นขั้วใบเสร็จน้อยกว่าปลายขั้ว จำเลยทั้งสองจงใจทุจริตต่อหน้าที่เอาเงินที่เกินเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย ทำให้โจทก์เสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าข้ออ้างของโจทก์เช่นนี้เป็นการนอกประเด็นจึงชอบแล้ว

ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลพิพากษาคดีอาญาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานปลอมหนังสือแล้ว ต้องใช้อายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168 นั้นเห็นว่าความเสียหายของโจทก์ที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยใช้เงินในคดีนี้เป็นผลจากการที่จำเลยทำละเมิดโดยยักยอกเงินค่าซื้อไม้ป่าเลน มิใช่การปลอมเอกสารที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย จึงเอาเหตุที่ศาลลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารมาเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องเพื่อมิให้ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้นไม่ได้

ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้ฟ้องคดีอาญาต่อศาลแล้ว อายุความคดีแพ่งย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51วรรค 2 และต้องใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา448 วรรค 2 นั้น เห็นว่าบทบัญญัติเรื่องอายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 วรรค 2 บัญญัติ เพื่อให้มีผลบังคับสำหรับกรณีที่จะมีการฟ้องคดีแพ่งตามมาภายหลังที่ได้พิจารณาพิพากษาคดีอาญาเด็ดขาดไปแล้วดังที่บัญญัติไว้ในวรรค 3 และ 4 รวมทั้งกรณีที่ได้มีการฟ้องคดีแพ่งเข้ามาในระหว่างพิจารณาคดีอาญาอย่างคดีนี้ด้วย คดีนี้ อัยการฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหาว่ายักยอกเงินค่าซื้อไม้ป่าเลน และศาลพิพากษายกฟ้อง จนคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว กรณีต้องตามบทบัญญัติวรรค 4 คือ สิทธิของโจทก์ในอันที่จะฟ้องคดีแพ่งย่อมมีอายุความหลักทั่วไปในเรื่องอายุความแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และเห็นว่าอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ซึ่งศาลล่างนำมาปรับแก่คดีนี้นั้นใช้บังคับเฉพาะในกรณีผู้เสียหายฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือใช้เงินซึ่งจำเลยยักยอกเอาของโจทก์ไป จึงไม่ใช่เรื่องเรียกร้องให้ใช้ค่าเสียหาย แต่เป็นเรื่องเจ้าของทรัพย์สินฟ้องเรียกเอาทรัพย์ที่ผู้ทำละเมิดยึดถือครอบครองของเขาไว้ในฐานละเมิดซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ฉะนั้น จึงนำอายุความตามมาตรา 448 มาใช้บังคับไม่ได้ ตามนัยฎีกาที่ 695/2503 และ 1251/2504 โจทก์จึงยังมีสิทธิฟ้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ประกอบด้วย 1382 และ 1383 เมื่อคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ยักยอกเงินโจทก์ไป 138,138.91 บาท จำเลยที่ 2 จึงต้องคืนหรือใช้เงินจำนวนนี้แก่โจทก์

พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 คืนหรือใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

Share