คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายให้ครบถ้วนตั้งแต่วันที่1เมษายน2536จำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์คดีนี้เมื่อวันที่6มิถุนายน2536แต่ผู้ร้องเพิ่งมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยเมื่อวันที่16สิงหาคม2536ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อในงวดสุดท้ายแล้ว4เดือนเศษทั้งเป็นการบอกเลิกสัญญาภายหลังเกิดเหตุคดีนี้เป็นเวลา2เดือนเศษตามพฤติการณ์ส่อว่าหากจำเลยไม่ถูกดำเนินคดีถูกศาลสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลางผู้ร้องคงไม่บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยการที่ผู้ร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางมีเหตุน่าเชื่อว่ากระทำเพื่อประโยชน์ของจำเลยถือได้ว่าผู้รองรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336, 336 ทวิ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองและริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ขอให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลาง หรือหากผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางผู้ร้องก็รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ขอให้ยกร้อง
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ยก คำร้อง
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ของกลางซึ่งได้ให้จำเลยที่ 1เช่าซื้อไปเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2535 ในราคา 62,084.06 บาทชำระเงินครั้งแรกจำนวน 12,065.42 บาท ส่วนที่เหลือ 50,018.64 บาทชำระเดือนละ 4,168.22 บาท รวม 12 เดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 1 พฤษภาคม 2535 ตามใบคู่มือจดทะเบียนและสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย ร.3 และ ร.4 จำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่ผู้ร้องแล้ว 11 งวด กับชำระบางส่วนของงวดที่ 12 เป็นเงิน1,500 บาท รวมแล้วจำเลยที่ 1 ชำระแก่ผู้ร้องแล้ว 59,317.71 บาทคงค้างชำระงวดที่ 12 เป็นเงิน 2,766.35 บาท จำเลยทั้งสองได้ทำการวิ่งราวทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะเมื่อวันที่6 มิถุนายน 2536 ต่อมาผู้ร้องได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือลงวันที่ 10 สิงหาคม 2536 บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 1 โดยอ้างเหตุว่า จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย 2,960 บาทตามเอกสารหมาย ร.6 และ ร.7 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายให้ครบถ้วนตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2536 แต่ผู้ร้องมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 1 โดยมารดาจำเลยที่ 1 ได้รับไว้เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2536 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังที่จำเลยที่ 1ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อในงวดสุดท้ายแล้ว 4 เดือนเศษทั้งเป็นการบอกเลิกภายหลังเกิดเหตุคดีนี้เป็นเวลา 2 เดือนเศษตามพฤติการณ์ส่อว่าหากจำเลยที่ 1 ไม่ถูกดำเนินคดีจนถูกศาลสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลาง ผู้ร้องคงไม่บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 1 การที่ผู้ร้องขอคืนรถจักรยานยนต์ของกลางมีเหตุน่าเชื่อว่า กระทำไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย
พิพากษายืน

Share