แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล (คชก. ตำบล) ซึ่งชี้ขาดว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่าง ง. กับจำเลยไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ในราคา 65,000 บาท คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลดังกล่าวเป็นที่สุดแล้วเนื่องจากจำเลยมิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลต่อ คชก. จังหวัด พ.ร.บ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ มาตรา 56โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องต่อศาล และในการพิจารณาของศาลให้ถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลเป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการใน ป.วิ.พ. มาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบล โดยอนุโลม ทั้งนี้ ตามมาตรา 58 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว และตามป.วิ.พ. มาตรา 221 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่ คชก. ตำบลมีคำวินิจฉัย และขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ถ้าศาลเห็นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายประการใดประการหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติวรรคสุดท้ายแห่ง มาตรา 218 มาใช้บังคับ คือศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดนั้น ดังนี้ เมื่อโจทก์ฟ้อง จำเลยอาจให้การว่าคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลดังกล่าวขัดต่อกฎหมายได้ แต่คดีนี้จำเลยหาได้ให้การเช่นนั้นไม่ และปรากฏว่าคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลเป็นคำวินิจฉัยตรงตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลจึงเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและศาลย่อมต้องพิพากษาไปตามคำชี้ขาดนั้น.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นางเงิน ดำจ้อย มารดาโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่นาตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ทะเบียนเล่ม 2 หน้า 48สารบบเลขที่ 39 หมู่ที่ 7 ตำบลโคกปีบ อำเภอโคกปีบ จังหวัดปราจีนบุรีเนื้อที่ 26 ไร่ 1 งาน เนื่องจากนางเงินชราและสุขภาพไม่ดี ประสงค์ให้โจทก์และนางสาวห่อ เอี่ยมเฟี้ยม ผู้เป็นบุตรถือสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวไว้แทน จึงจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวลงชื่อโจทก์และนางสาวห่อเป็นเจ้าของ และให้โจทก์เช่าโดยคิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกปีละ 200 ถัง ต่อมานางเงินประสงค์ให้โจทก์และนางสาวห่อจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวคืนให้นางเงิน โจทก์และนางสาวห่อก็ได้ยื่นคำขอและจดทะเบียนโอนคืนให้ แต่โจทก์ก็ยังคงทำนาในที่ดินแปลงนี้ในฐานะผู้เช่าตลอดมาและมีสิทธิทำได้ต่อไปอีกจนครบ 6 ปี ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 หลังจากโจทก์และนางสาวห่อโอนที่ดินคืนให้นางเงินได้ 4-5 วัน โจทก์ทราบว่าในวันที่ 6 ตุลาคม 2525 นางเงินและจำเลยได้สมคบกันเอาความเท็จไปแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าที่ดินแปลงนี้ไม่มีใครเช่าทำนานางเงินจะโอนขายให้จำเลย พนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอโคกปีบหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยในราคา 65,000 บาทโดยนางเงินไม่ได้มีหนังสือแสดงความจำนงจะขายนาพร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก. ตำบล (คณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบล) เพื่อแจ้งให้โจทก์ทราบภายใน15 วันก่อน เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯโจทก์ติดต่อให้จำเลยขายที่ดินแปลงดังกล่าวแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมโจทก์ร้องเรียนต่อ คชก. ตำบลโคกปีบ คณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2525 ซึ่งโจทก์จำเลยเข้าประชุมด้วยคณะกรรมการมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า การซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวระหว่างนางเงินกับจำเลยไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมฯ ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินจากจำเลยในราคา 65,000 บาทและโจทก์มีสิทธิทำนาได้ต่อไปอีกจนครบ 6 ปี แต่จำเลยไม่ยินยอมจดทะเบียนขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยส่งมอบน.ส. 3 พร้อมทั้งจดทะเบียนนิติกรรมโอนที่ดินแปลงดังกล่าวขายให้แก่โจทก์แล้วรับเงินจำวน 65,000 บาท ไปจากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์และนางสาวห่อไม่ได้ถือสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทไว้แทนนางเงินมารดาโจทก์หรือเช่าจากบุคคลดังกล่าวเพราะที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และนางสาวห่อตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม2516 ถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2525 เมื่อโจทก์ไม่ใช่ผู้เช่าที่ดินพิพาทจากนางเงิน นางเงินจึงมีสิทธิขายให้จำเลยได้โดยไม่ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53โจทก์ทราบการขายที่ดินพิพาทมาแต่ต้น แต่ไม่คัดค้าน การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ในราคา 65,000 บาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยหรือไม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของนางเงิน ดำจ้อย โจทก์ได้เช่าที่ดินพิพาทจากนางเงินเพื่อทำนา ในระหว่างที่โจทก์เช่าที่ดินพิพาทอยู่นางเงินได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้จำเลยโดยไม่มีหนังสือแสดงความจำนงจะขายนา พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก. ตำบลเพื่อแจ้งให้โจทก์ทราบภายใน 15 วันก่อน เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 โจทก์จึงร้องเรียนต่อ คชก. ตำบลโคกปีบ คณะกรรมการดังกล่าวได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2525 และมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างนางเงินกับจำเลยไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ให้โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยได้ในราคา 65,000 บาท แต่จำเลยไม่ยอมขายให้โจทก์ ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเห็นได้ว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล และจากการนำสืบของโจทก์โดยจำเลยมิได้โต้แย้ง ได้ความว่าคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลดังกล่าวเป็นที่สุดแล้วเนื่องจากจำเลยไม่ได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก. ตำบล ต่อ คชก. จังหวัด ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 56 ในกรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของ คชก. ตำบล โจทก์มีอำนาจฟ้องต่อศาลในการพิจารณาของโจทก์ให้ถือว่าคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล เป็นคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการโดยให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลโดยอนุโลม ทั้งนี้ตามมาตรา 58 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 221 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่ คชก. ตำบล มีคำวินิจฉัยและขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องบัญญัติว่าถ้าคู่กรณีฝ่ายใดไม่ยอมปฏิบัติตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการห้ามมิให้บังคับคำชี้ขาดนั้นเว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลที่มีเขตอำนาจ และศาลได้มีคำพิพากษาตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น ถ้าศาลเห็นว่าคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อกฎหมายประการใดประการหนึ่ง ให้นำบทบัญญัติวรรคสุดท้ายแห่งมารตรา 218 มาใช้บังคับ คือศาลมีอำนาจทำคำสั่งปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคำชี้ขาดนั้น ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของคชก. ตำบล จำเลยอาจให้การว่าคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล ดังกล่าวขัดต่อกฎหมายได้ แต่คดีนี้จำเลยมิได้ให้การว่าคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของ คชก. ตำบล ขัดต่อกฎหมายประการใดประการหนึ่ง และตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลโคกปีบ เอกสารหมาย จ.3 ก็ปรากฏว่า คชก.ตำบลโคกปีบได้วินิจฉัยว่า ขณะที่นางเงินขายที่ดินพิพาทให้จำเลยนั้นโจทก์ได้เช่าที่ดินทำนาอยู่ การที่นางเงินขายที่ดินพิพาทให้จำเลยจึงไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ. 2524 โจทก์มีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยในราคา 65,000 บาทตามราคาที่จำเลยซื้อจากนางเงิน ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยตรงตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง คดีจึงต้องรับฟังว่าคำวินิจฉัยอันเป็นที่สุดของ คชก.ตำบลโคกปีบ เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ขัดต่อกฎหมายและศาลย่อมต้องพิพากษาไปตามคำชี้ขาดนั้น”
พิพากษายืน.