แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยอื่นละเมิดลิขสิทธิ์งานแพร่เสียงแพร่ภาพของโจทก์ด้วยการร่วมกันนำอุปกรณ์ชุดเครื่องรับสัญญาณ อุปกรณ์ถอดรหัสและแปลงสัญญาณ อุปกรณ์กระจายสัญญาณของโจทก์ทั้งสองไปติดตั้งไว้ในอาคารแล้วแพร่เสียงแพร่ภาพซ้ำโดยการกระจายสัญญาณเสียงและภาพทางโทรทัศน์ในระบบของโจทก์ไปตามสัญญาหรือสายอากาศที่ต่อเข้าไปในห้องเช่าในอาคารจำนวน 225 ห้อง ไปพร้อมกับระบบการให้บริการสัญญาณทางโทรทัศน์ของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการเคเบิลทีวีแบบบอกรับสมาชิก เพื่อให้ผู้เช่าห้องได้รับฟังและรับชมรายการทางโทรทัศน์ของโจทก์โดยมีเครื่องหมายบริการของโจทก์ปรากฏในรายการโทรทัศน์นั้นด้วย ขอให้จำเลยที่ 4 ชดใช้ค่าเสียหายและหยุดการกระทำละเมิด ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 ที่อ้างว่า ตัวแทนหรือพนักงานของโจทก์พ่วงต่อสัญญาณโทรทัศน์ของโจทก์เข้ามาในเครื่องรับสัญญาณของจำเลยที่ 4 ทำให้จำเลยที่ 4 ได้รับความเสียหาย แม้เป็นการฟ้องในมูลละเมิดเช่นกัน แต่ก็เป็นการละเมิดต่างครั้งต่างคราวกันและมูลเหตุคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 ที่กล่าวอ้างใช้สิทธิทางศาลอันเนื่องมาจากการที่โจทก์กระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 4 เพราะโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเอาความเท็จมาฟ้องต่อศาล เป็นฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุแห่งการฟ้องของโจทก์มาเป็นข้อกล่าวอ้าง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิม จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์และเคเบิลทีวีในชื่อยูบีซีโดยได้รับอนุญาตและเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าและเครื่องหมายบริการ UBC ที่ได้จดทะเบียนแล้วจำเลยทั้งสี่ร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์งานแพร่ภาพและเครื่องหมายบริการของโจทก์ทั้งสอง โดยจำเลยที่ 3 แจ้งว่า ได้สมัครเป็นสมาชิกของโจทก์ที่ 1 จำนวน 1 จุด เครื่องรับโทรทัศน์และของโจทก์ที่ 2 จำนวน 1 จุด เครื่องรับโทรทัศน์ แต่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันนำอุปกรณ์ชุดเครื่องรับสัญญาณ อุปกรณ์ถอดรหัสและแปลงสัญญาณ อุปกรณ์กระจายสัญญาณของโจทก์ทั้งสองไปติดตั้งไว้ในอาคารแล้วแพร่เสียงแพร่ภาพซ้ำ โดยการกระจายสัญญาณเสียงและภาพทางโทรทัศน์ในระบบของโจทก์ทั้งสองไปตามสัญญาณหรือสายอากาศที่ต่อเข้าไปในห้องเช่าในอาคารจำนวน 225 ห้อง ไปพร้อมกับระบบการให้บริการสัญญาณทางโทรทัศน์ของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการเคเบิลทีวีแบบบอกรับสมาชิก เพื่อให้ผู้เช่าห้องได้รับฟังและรับชมรายการทางโทรทัศน์ของโจทก์ทั้งสอง โดยมีเครื่องหมายบริการของโจทก์ทั้งสองปรากฏในรายการโทรทัศน์นั้นด้วย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสอง การกระทำดังกล่าว จึงเป็นการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์งานแพร่เสียงแพร่ภาพและละเมิดเครื่องหมายบริการของโจทก์ทั้งสอง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ชำระค่าเสียหายตามจำนวนที่ระบุพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายรายเดือนนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะหยุดหรือเลิกการกระทำละเมิด โดยในส่วนของจำเลยที่ 4 ให้ร่วมชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 รายละจำนวน 869,676.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายรายเดือนอีกเดือนละ 656.98 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าหยุดการทำละเมิด กับใช้ค่าเสียหายอันเป็นค่าใช้จ่ายในการสืบจากพยานหลักฐานจำนวน 800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่เคยร่วมกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสอง ฟ้องโจทก์ทั้งสองเคลือบคลุมและขาดอายุความ และฟ้องแย้งมาในคำให้การว่าตัวแทนหรือพนักงานของโจทก์ทั้งสองกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 4 โดยการพ่วงต่อสายสัญญาณโทรทัศน์ของโจทก์ทั้งสองเข้ามาในเครื่องรับส่งสัญญาณของจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 4 ต้องค้นหาสาเหตุที่ทำให้สัญญาณโทรทัศน์ของจำเลยที่ 4 ไม่ชัดเจนอยู่นาน เสียค่าใช้จ่ายไป 5,000,000 บาท โจทก์ทั้งสองต้องรับผิดชำระค่าเสียหายส่วนนี้ กับการที่โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยที่ 4 เป็นคดีนี้ ทำให้จำเลยที่ 4 เสื่อมเสียชื่อเสียง สมาชิกของจำเลยที่ 4 ซึ่งทราบข่าวยกเลิกการเป็นสมาชิกเป็นจำนวนมาก คิดเป็นเงิน 10,000,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง และให้โจทก์ทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 4 จำนวน 15,000,000 บาท
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่าฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จึงไม่รับฟ้องแย้งจำเลยที่ 4
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 ว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 เกี่ยวกับฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 4 ร่วมกับจำเลยอื่นละเมิดลิขสิทธิ์งานแพร่เสียงแพร่ภาพของโจทก์ทั้งสองด้วยการร่วมกันนำอุปกรณ์ชุดเครื่องรับสัญญาณ อุปกรณ์ถอดรหัสและแปลงสัญญาณ อุปกรณ์กระจายสัญญาณของโจทก์ทั้งสองไปติดตั้งไว้ในอาคารแล้วแพร่เสียงแพร่ภาพซ้ำโดยการกระจายสัญญาณเสียงและภาพทางโทรทัศน์ในระบบของโจทก์ทั้งสองไปตามสัญญาณหรือสายอากาศที่ต่อเข้าไปในห้องเช่าในอาคารจำนวน 225 ห้อง ไปพร้อมกับระบบการให้บริการสัญญาณทางโทรทัศน์ของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการเคเบิลทีวีแบบบอกรับสมาชิก เพื่อให้ผู้เช่าห้องได้รับฟังและรับชมรายการทางโทรทัศน์ของโจทก์ทั้งสองโดยมีเครื่องหมายบริการของโจทก์ทั้งสองปรากฏในรายการโทรทัศน์นั้นด้วย โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ทั้งสองขอให้บังคับจำเลยที่ 4 ชดใช้ค่าเสียหายและหยุดการกระทำละเมิด สำหรับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 ที่อ้างว่า ตัวแทนหรือพนักงานของโจทก์ทั้งสองพ่วงต่อสัญญาณโทรทัศน์ของโจทก์ทั้งสองเข้ามาในเครื่องรับสัญญาณของจำเลยที่ 4 ทำให้จำเลยที่ 4 ได้รับความเสียหาย แม้เป็นการฟ้องในมูลละเมิดเช่นกัน แต่ก็เป็นการละเมิดต่างครั้งต่างคราวกันและมูลเหตุคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมและในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 ที่ว่า โจทก์ทั้งสองยื่นฟ้องจำเลยที่ 4 ซึ่งทราบข่าวยกเลิกการเป็นสมาชิกเป็นจำนวนมาก ทำให้จำเลยที่ 4 ได้รับความเสียหาย ก็เป็นการที่จำเลยที่ 4 กล่าวอ้างใช้สิทธิทางศาลอันเนื่องมาจากการที่โจทก์ทั้งสองกระทำละเมิดต่อจำเลยที่ 4 เพราะโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเอาความเท็จมาฟ้องต่อศาล ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 ดังกล่าว จึงเป็นฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุการฟ้องของโจทก์ทั้งสองมาเป็นข้อกล่าวอ้าง ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิมเช่นกัน ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่อาจจะรวมการพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 179 วรรคท้าย ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยที่ 4 นั้นชอบแล้ว”