คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4649/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของโจทก์มอบหมายให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำบัญชี เก็บเอกสาร การเงินและนำเงินรายได้จากขายห้องชุดที่จังหวัดสมุทรปราการนำเข้าบัญชีของโจทก์ที่จังหวัดเชียงราย การที่จำเลยทั้งสองรับเงินและเช็คจากลูกค้าของโจทก์ที่จังหวัดสมุทรปราการแล้วไม่นำส่งให้โจทก์ที่จังหวัดเชียงราย แต่กลับนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยทั้งสองที่ธนาคารในกรุงเทพมหานคร แม้การกระทำของจำเลยทั้งสองอาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แต่ความผิดดังกล่าวมิได้เกิดขึ้น อ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย อันจะทำให้ศาลจังหวัดเชียงราย มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริต โดยมีการวางแผนยักยอกเงินของโจทก์ที่จังหวัดเชียงรายตั้งแต่เมื่อปลายเดือนเมษายน 2539 ข้ออ้างดังกล่าวของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าความผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้เกิดขึ้นแล้ว อันจะทำให้ศาลจังหวัดเชียงรายมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ เมื่อศาลจังหวัดเชียงรายไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแล้ว จึงไม่อาจโอนคดีไปชำระที่ศาลแขวงหรือศาลจังหวัดสมุทรปราการได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 23 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบียดบังเอาเงินจากการขายห้องชุดจำนวน 25,283,793 บาท ของโจทก์ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสองไปโดยทุจริต โจทก์ทราบการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2544 เหตุเกิดที่ตำบลเวียง อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย และตำบลบางจาก อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ เกี่ยวเนื่องกัน ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 83, 91, 352
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่ใช่สถานที่ความผิดเกิดขึ้น ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจรับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดเชียงราย) มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์หรือไม่ โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่จังหวัดสมุทรปราการ โจทก์มีวัตถุประสงค์สร้างอาคารพาณิชย์และที่พักอาศัยห้องชุดจำหน่าย โจทก์สร้างอาคารพาณิชย์และที่พักอาศัยห้องชุดที่จังหวัดสมุทรปราการจำหน่ายให้แก่ประชาชนทั่วไป เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2539 กรรมการบริษัทได้นัดประชุมผู้ถือหุ้นของโจทก์ที่จังหวัดเชียงราย ที่ประชุมตกลงมอบหมายให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำบัญชี จัดเก็บเอกสาร การเงินและนำเงินที่ได้จากการขายห้องชุดส่งมอบแก่โจทก์โดยนำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่จังหวัดเชียงราย ภายหลังจำเลยทั้งสองรับมอบเงินสดและเช็คค่าห้องชุดที่ลูกค้าของโจทก์นำมาชำระเป็นเงินประมาณ 25,000,000 บาท แล้วนำเข้าบัญชีของจำเลยทั้งสองที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาอุรุพงษ์ โดยมิได้นำส่งให้โจทก์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงราย เห็นว่า หลังจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของโจทก์ได้มอบหมายให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ทำบัญชี เก็บเอกสาร การเงินและนำเงินรายได้จากการขายห้องชุดส่งแก่โจทก์โดยนำเข้าบัญชีของโจทก์ที่จังหวัดเชียงรายแล้ว จำเลยทั้งสองดำเนินการตามที่ประชุมผู้ถือหุ้นโจทก์มอบหมาย ซึ่งโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันยักยอกเงินของโจทก์ไปเป็นจำนวนเงินประมาณ 25,000,000 บาท ทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันยักยอกเงินของโจทก์ที่จังหวัดเชียงราย จำเลยทั้งสองรับเงินและเช็คจากลูกค้าของโจทก์ที่จังหวัดสมุทรปราการแล้วไม่นำส่งให้โจทก์ที่จังหวัดเชียงราย แต่กลับนำเงินและเช็คเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยทั้งสองที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาอุรุพงษ์ กรุงเทพมหานคร แม้อาจจะเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ แต่ความผิดดังกล่าวก็มิได้เกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงราย อันจะทำให้ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดเชียงราย) มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริต โดยมีการวางแผนยักยอกเงินของโจทก์ที่จังหวัดเชียงรายตั้งแต่เมื่อปลายเดือนเมษายน 2539 การกระทำของจำเลยทั้งสองตามข้ออ้างดังกล่าวของโจทก์แม้จะเป็นความจริงก็ยังถือไม่ได้ว่าความผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้เกิดขึ้นแล้ว อันจะทำให้ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดเชียงราย) มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้ ที่โจทก์ฎีกาขอให้โอนคดีของโจทก์ไปชำระที่ศาลแขวงหรือศาลจังหวัดสมุทรปราการ โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้รับมอบเงินและเช็คที่จังหวัดสมุทรปราการนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดเชียงราย) ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแล้ว กรณีก็ไม่อาจโอนคดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์อ้างได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย…
พิพากษายืน.

Share