คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4647/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 154 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 นั้น ผู้ร้องขอคืนของกลาง มีหน้าที่พิสูจน์ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ริบรถแทรกเตอร์และเครื่องอุปกรณ์ทำแร่ของกลาง
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า รถแทรกเตอร์และเครื่องอุปกรณ์ทำแร่ของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้องทั้งสองได้ให้จำเลยเช่าไป ผู้ร้องทั้งสองมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งคืนของกลางมีศาลสั่งริบแก่ผู้ร้องทั้งสอง
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า ทรัพย์ของกลางมิใช่ของผู้ร้อง ผู้ร้องสนับสนุนและรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย
ศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้คืนรถแทรกเตอร์ให้แก่ผู้ร้องที่ ๑ และคืนเครื่องสูบแร่ ๑ เครื่อง หัวฉีด ๑ หัว ท่อเหล็กส่งทราย ๑๒ ท่อน ท่อเหล็กส่งน้ำ๑๓ ท่อน ของกลางให้แก่ผู้ร้องที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า ผู้ร้องทั้งสองรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดหรือไม่ เห็นว่าในการร้องขอคืนของกลาง ที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๕๔ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖ นั้น ผู้ร้องขอคืนของกลาง มีหน้าที่พิสูจน์ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำผิดศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงจากข้อนำสืบของผู้ร้องทั้งสองว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าของทรัพย์ของกลางแต่รับฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องทั้งสองมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสอง

Share