คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4641/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ยินยอมไปกับจำเลยกับพวกก็เพราะถูกจำเลยกับพวกหลอกลวงว่าจะไปส่ง แต่จำเลยกับพวกกลับพาไปในที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันขู่เข็ญฉุดคร่าผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเรา จึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318 วรรคท้าย
แม้ว่าหลังจากจำเลยกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแล้ว จำเลยกับพวกจะพาผู้เสียหายไปส่งก็ตาม แต่ก่อนจะไปส่ง จำเลยกับพวกพาผู้เสียหายไปในที่เกิดเหตุและควบคุมผู้เสียหายไว้เพื่อให้จำเลยกับพวกมีโอกาสผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายไม่อยู่ในภาวะที่จะขัดขืนหรือหลบหนีไปได้ ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 วรรคแรก แต่ความผิดตามมาตรา 310 วรรคแรก กับความผิดตามมาตรา 284 วรรคแรก เป็นการกระทำขณะเดียวกันต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามมาตรา 284 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดเพียงบทเดียว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๒๗ เวลากลางคืนหลังเที่ยงถึงวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๒๗ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงต่อเนื่องกันจำเลยทั้งสองกับพวกอีก ๓ คน ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันคือพรากนางสาวอำนวยพร คงแก้วอายุ ๑๖ ปีและนางสาวนิษรา สุริโยอายุ ๑๖ ปี ผู้เยาว์ทั้งสองไปเสียจากความปกครองดูแลของบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ทั้งสองไม่เต็มใจไปด้วย และพาผู้เยาว์ทั้งสองไปเพื่อการอนาจารโดยตบหน้านางสาวนิษราแล้วฉุดลากผู้เยาว์ทั้งสองไป และโดยใช้อุบายหลอกลวงว่าจะพาไปเที่ยวงานรื่นเริงแห่งหนึ่ง ทั้งได้หน่วงเหนี่ยวกักขังและคุมตัวผู้เสียหายทั้งสอง เป็นเหตุให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสอง อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๙๑, ๒๗๖, ๒๘๔, ๓๑๐, ๓๑๘
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ๒๘๔, ๓๑๐, ๓๑๘ วรรคสามเรียงกระทงลงโทษความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสองทั้งสองกรรมจำคุกจำเลยทั้งสองกรรมละ ๑๗ ปีผิดตามมาตรา ๒๘๔ จำคุกคนละ ๓ ปีผิดตามมาตรา ๓๑๐ จำคุกคนละ ๑ ปีผิดตามมาตรา ๓๑๘ วรรคสามจำคุกคนละ ๔ ปีรวมจำคุกคนละ ๔๒ ปีจำเลยทั้งสองให้การและนำสืบว่าได้พาผู้เสียหายทั้งสองไปยังที่เกิดเหตุและได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๓๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๐ และ ๓๑๘ พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ๒๘๔ เรียงกระทงลงโทษความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสองเป็นความผิดสองกรรมจำคุกจำเลยทั้งสองกรรมละ ๑๗ ปีรวม ๓๔ ปีความผิดตามมาตรา ๒๘๔ จำคุกคนละ ๓ ปีรวมจำคุกคนละ ๓๗ ปีคำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๒๗ ปี ๙ เดือน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา ๓๑๐ และมาตรา ๓๑๘ ด้วย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองมีอายุ ๑๖ ปีอยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดาในคืนวันเกิดเหตุเวลาประมาณ ๒๐ นาฬิกาขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองกำลังเดินทางจะไปเที่ยวงานคัดเลือกทหารที่อำเภอฉวางพบจำเลยทั้งสองกับพวกรวม ๖ คนขับขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมา ๒ คันจำเลยที่ ๑ ชวนผู้เสียหายทั้งสองให้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับขี่ไปงานดังกล่าวที่อำเภอฉวางเมื่อจำเลยทั้งสองกับพวกขับขี่รถจักรยานยนต์ไปถึงทางแยกจำเลยทั้งสองกับพวกไม่ขับขี่รถไปงานที่อำเภอฉวางกลับเลี้ยวขวาขับขี่ไปทางที่เกิดเหตุซึ่งเป็นเชิงเขาและมีน้ำตกครั้นไปถึงจำเลยทั้งสองกับพวกก็จอดรถแล้วพาผู้เสียหายทั้งสองไปที่ริมคลองจากนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกรวม ๕ คนก็ผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองโดยใช้กำลังบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสองจนถึงเวลาประมาณ ๒๔ นาฬิกาจำเลยทั้งสองกับพวกจึงยอมให้ผู้เสียหายกลับโดยให้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ ๑ แล้วไปส่งที่โรงเรียนของมารดานางสาวอำนวยพรโดยจำเลยทั้งสองกับพวกมิได้พาไปงานที่อำเภอฉวางเลยปัญหามีว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘ และผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายหรือกระทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายตามโจทก์ฟ้องหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่ผู้เสียหายทั้งสองยินยอมไปกับจำเลยทั้งสองกับพวกด้วยก็เพราะถูกจำเลยทั้งสองกับพวกหลอกลวงว่าจะไปส่งในงานที่อำเภอฉวางแต่จำเลยทั้งสองกับพวกกลับพาไปในที่เกิดเหตุแล้วร่วมกันขู่เข็ญฉุดคร่าผู้เสียหายทั้งสองไปข่มขืนกระทำชำเราจึงถือไม่ได้ว่าผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลยทั้งสองจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๘ วรรคท้าย ส่วนข้อหาความผิดต่อเสรีภาพตามมาตรา ๓๑๐ นั้นแม้ว่าหลังจากจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกจะพาผู้เสียหายทั้งสองไปส่งก็ตามแต่ก็ปรากฏว่าก่อนจะไปส่งผู้เสียหายทั้งสองนั้นจำเลยทั้งสองกับพวกได้พาผู้เสียหายไปในที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่เปลี่ยวในยามวิกาลจำเลยทั้งสองกับพวกได้ใช้กำลังทำร้ายและฉุดลากผู้เสียหายไปที่ลำคลองบริเวณน้ำตกและควบคุมผู้เสียหายทั้งสองไว้เพื่อให้จำเลยทั้งสองกับพวกได้มีโอกาสผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองจนถึงเวลาปรมาณ ๒๔ นาฬิกาซึ่งขณะนั้นผู้เสียหายทั้งสองไม่อยู่ในภาวะที่จะขัดขืนหรือหลบหนีไปได้ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกายจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๐ วรรคแรก ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยทั้งสองไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๑๐ และ ๓๑๘ นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นแต่ความผิดตามมาตรา ๓๑๐ วรรคแรก กับความผิดตามมาตรา ๒๘๔ วรรคแรก เป็นการกระทำขณะเดียวกันต่อเนื่องกันไปเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามมาตรา ๒๘๔ วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดเพียงบทเดียว
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๐ วรรคแรก, ๒๘๔ วรรคแรก ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุกคนละ ๓ ปีและมีความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง ๒ กระทงและมาตรา ๓๑๘ วรรคท้าย อีกกระทงหนึ่งความผิดตามมาตรา ๒๗๖ วรรคสอง จำคุกกระทงละ ๑๗ ปีรวม ๓๔ ปี ส่วนความผิดตามมาตรา ๓๑๘ วรรคท้ายจำคุกคนละ ๔ ปีรวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๔๑ ปีคำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ ๓๐ ปี ๙ เดือน.

Share