คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 462/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์โจทก์ย่อมได้รับข้อสันนิษฐานว่าที่พิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ถ้าจำเลยอ้างว่าเป็นของจำเลย ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายจำเลยที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนี้หากนำสืบไม่ได้จำเลยก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่ดินที่พิพาทเดิมเป็นของนายเมก นางพ่วงเมื่อ 10 กว่าปีมาแล้วนายเมกตาย นางพ่วงรับโอนมรดกแล้วโอนขายให้นายอู๊ดบุตรชาย ต่อมานายอู๊ดโอนขายให้โจทก์ จำเลยเป็นญาติกับนายเมก นางพ่วง ได้ขออาศัยปลูกเรือนอยู่ในที่พิพาท โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบ จำเลยขอผัดจะรื้อถอนบ้านเรือนออกไป ต่อมาจำเลยกลับต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของจำเลย

จำเลยให้การว่า นายเมกนางพ่วงยกที่ดินส่วนหนึ่งให้จำเลยที่ 1 และนางจรูญซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 2 เป็นที่อยู่อาศัย จำเลยและนางจรูญใช้สิทธิครอบครองมากว่า 20 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนโรงเรือนออกจากที่พิพาทและห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ฝ่ายจำเลยได้รับการยกให้แล้วปลูกเรือนเป็นหลักฐานครอบครองเป็นเจ้าของมาโดยเปิดเผยกว่า 10 ปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ และฟังว่าโจทก์ได้ซื้อที่รายนี้โดยรู้อยู่ก่อนซื้อแล้วว่าจำเลยปลูกเรือนอยู่ จะว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตไม่ได้พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาทอยู่ภายในเขตโฉนดของโจทก์ และโจทก์ย่อมได้รับข้อสันนิษฐานว่า ที่พิพาทเป็นสิทธิของโจทก์ จึงเป็นหน้าที่ของฝ่ายจำเลยที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวหากจำเลยนำสืบไม่ได้ จำเลยก็เป็นฝ่ายแพ้คดีเห็นว่า พยานจำเลยนำสืบขัดกันเอง จนรับฟังเป็นความจริงไม่ได้โจทก์ควรเป็นฝ่ายชนะคดี จึงพิพากษากลับ ให้โจทก์ชนะคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share