คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 462/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยทำสัญญาขายแร่ในนามของตนเอง ในสัญญามิได้ระบุว่าทำแทนใคร แม้จะมีตัวการตัวการก็ไม่เคยแสดงต่อผู้ซื้อมาก่อนว่าจำเลยทำแทน ดังนี้จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา ตัวการหาอาจทำให้เสื่อมสิทธิของผู้ซื้อที่มีต่อจำเลย ฐานจำเลยผิดสัญญาได้ไม่
เมื่อข้อความในสัญญามิได้ระบุว่า จำเลยทำแทนผู้ใด ที่จำเลยนำสืบว่าทำในฐานะตัวแทน จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
ข้อสัญญาที่ว่า ค่าส่งจากสถานีถึงโกดังผู้ซื้อ ผู้ขายต้องเสียเองนั้นหมายถึงว่า ผู้ขายต้องส่งมอบถึงโกดังผู้ซื้อ ไม่หมายเลยไปถึงว่า ผู้ขายจะต้องไปเอาแร่จากที่ใดที่หนึ่งมาส่ง ผู้ขายจึงอ้างเหตุสุดวิสัยว่าไม่สามารถขนส่งแร่จากที่หนึ่งมาแก้ตัวไม่ได้
การซื้อขายแร่แม้ผู้ซื้อขายไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติความผิดอยู่ที่ไม่ขออนุญาตกฎหมายมิได้ห้ามการซื้อขายแร่ทั้งสัญญาได้ทำในจังหวัดที่ยังมิได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ฯ 2474 สัญญานั้นไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาขายแร่ดีบุกให้โจทก์ 40 ตันภายในเวลา 2 เดือนราคากิโลกรัมละ 4 บาท 80 สตางค์ จำเลยส่งให้แล้ว 20 ตันอีก 20 ตันหาได้ส่งไม่ ขอให้จำเลยส่งแร่อีก 20 ตัน ส่งไม่ได้ให้ใช้ค่าเสียหาย 93,200 บาท จำเลยปฏิเสธความรับผิดต่อสู้ว่าไม่ได้ทำสัญญาในฐานะส่วนตัว แต่ทำในฐานะตัวแทนนายสว่างโจทก์ทราบดีว่าแร่รายนี้มาจากตะกั่วป่าต้องบรรทุกเรือที่ภูเก็ตสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะและอื่น ๆ นายสว่างร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม สัญญามีข้อความว่า “พระนคร ที่ 1 พฤษภาคม 1944 (พ.ศ. 2487)

แจ้งความมายังบริษัทดิทแฮล์ม จำกัด พระนคร ข้าพเจ้า ขอยืนยันว่าได้ขายสิ่งของที่กล่าวไว้ข้างล่างนี้ให้แก่ท่าน

รายการ แร่ดีบุก

จำนวนและราคา 40 ตัน จะส่งได้ภายใน 2 เดือน นับแต่วันนี้ราคากิโลละ 4.80 บาท (รวมทั้งค่าภาคหลวง)

ความบริสุทธิ์ 99.5 เปอร์เซ็น ผู้ขายจะต้องส่งใบรับรองความบริสุทธิ์ของกรมวิทยาศาสตร์ให้

ค่าส่ง จากสถานีถึงโกดังของผู้ซื้อ ผู้ขายต้องเสียเอง

โดยความนับถือ

(ลงลายมือชื่อ) ไล่อัน สิริสิงห์

ผู้ซื้อได้สนองรับแล้ว

ฯลฯ

ได้ความว่าเมื่อจำเลยส่งแร่ดีบุกให้โจทก์ 2 คราว ๆ ละ 10 ตันแล้ว จำเลยบอกโจทก์ว่าส่งให้ไม่ได้ เพราะเรือบันทุกถูกยิงจม ให้โจทก์ไปรับที่ภูเก็ต โจทก์ไม่ไปรับ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ที่จำเลยไม่สามารถส่งให้โจทก์ตามสัญญาเนื่องจากเหตุสุดวิสัยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 ให้ยกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามสัญญาจำเลยขายแร่ในนามของตนเอง ไม่แสดงว่าขายในนามของนายสว่าง และตามสัญญาจำเลยจะเอาแร่ที่ไหนมาส่งโจทก์ก็ได้จำเลยจะอ้างเหตุสุดวิสัยไม่ได้ สัญญาไม่เป็นโมฆะพิพากษาแก้ให้จำเลยส่งดีบุก20 ตัน เนื้อบริสุทธิ์ 99.5 เปอร์เซ็นถึงโกดังโจทก์ในกรุงเทพฯ ส่งไม่ได้ให้ใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ขาดกำไร 76,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย

นายไล่อันและนายสว่างจำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การซื้อขายแร่รายนี้คู่สัญญามุ่งหมายถึงคุณภาพหรือความบริสุทธิ์ของแร่เป็นใหญ่ ข้อสัญญาที่ว่าค่าส่งจากสถานีถึงโกดังผู้ซื้อ ผู้ขายต้องเสียเองนั้น หมายถึงผู้ขายต้องส่งมอบแร่ถึงโกดังผู้ซื้อ หรือนัยหนึ่งค่าขนส่งผู้ซื้อไม่ต้องเสียเท่านั้น จะแปลเลยไปถึงว่าผู้ขายต้องเอาแร่มาจากตะกั่วป่าหรือปักษ์ใต้มาส่งให้แก่ผู้ซื้อหาได้ไม่ จำเลยจึงอ้างเหตุสุดวิสัยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 ไม่ได้และที่จำเลยนำสืบว่าทำเพียงในฐานะตัวแทนเป็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 แม้จำเลยจะเป็นตัวแทนจริงดังคำผู้ร้องสอด ๆ ก็ยอมให้จำเลยทำการออกหน้าเป็นตัวการเพราะในสัญญาไม่ระบุว่าทำแทนใครและนายสว่างไม่เคยแสดงต่อโจทก์มาก่อน จึงหาทำให้เสื่อมสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 กฎหมายมิได้ห้ามการซื้อขายแร่ ความผิดอยู่ที่การไม่ขออนุญาตทั้ง พระราชบัญญัติเหมืองแร่แก้ไขเพิ่มเติม 2474 ยังไม่ได้ประกาศใช้ในจังหวัดพระนครอันเป็นที่ ๆ ทำสัญญากัน สัญญาไม่เป็นโมฆะ อนึ่งศาลแพ่งยกฟ้องในเรื่องสุดวิสัยข้อเดียว ศาลอุทธรณ์ย่อมวินิจฉัยในข้อผิดสัญญาและค่าเสียหายได้ เมื่อเห็นว่าจำเลยอ้างเหตุสุดวิสัยมาต่อสู้ไม่ได้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลแพ่งวินิจฉัย เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์

พิพากษายืน

Share