แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นผู้ทำบัญชีในสถานที่รวบรวมฝิ่นย่อยของบริษัทซึ่งรับเหมาส่งฝิ่นดิบแก่กรมสรรพสามิต ได้ควบคุมฝิ่นดิบของบริษัทโดยมีใบคุ้มครองกำกับมา แต่มีฝิ่นสุกซึ่งไม่ได้รับอนุญาตมาด้วย 11300 กรัม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ทำบัญชีได้เป็นผู้ไปซื้อฝิ่นนี้มาจากบนดอย และนำมาบรรจุหีบที่สถานที่รวมฝิ่นย่อยและได้เป็นผู้ควบคุมมาจนถูกจับ ดังนี้ย่อมเรียกได้ว่า จำเลยเป็นผู้’มี’ตามความหมายแห่ง พระราชบัญญัติฝิ่นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยสมคบกันมีฝิ่นสุกหนัก 11,300 กรัม ราคา 45,200 บาทไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษและริบฝิ่น
ข้อเท็จจริงได้ความว่า บริษัทไทยสามิตต์ได้รับมอบกิจการเหมาส่งฝิ่นดิบให้แก่กรมสรรพสามิตต์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการสถานที่รวมฝิ่นย่อยของบริษัทที่กิ่งอำเภอแม่สาย จำเลยที่ 1 เป็นผู้ทำบัญชีสถานที่รวมฝิ่นย่อยเมื่อรวบรวมฝิ่นได้มากพอแล้ว ก็เอาส่งสถานีรวมฝิ่นใหญ่ การขนส่งฝิ่นนั้นมีใบคุ้มครองที่คณะกรมการจังหวัดออกให้วันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1 นำฝิ่นบรรทุกรถยนต์มา 1 คัน มีฝิ่น 20 หีบ มาถึงบ้านแม่ดีก็ถูกตำรวจจับ ปรากฏว่านอกจากฝิ่นดิบตามใบคุ้มครองแล้วยังมีฝิ่นสุก 2 กระป๋องหนัก11,300 กรัม ซึ่งเป็นฝิ่นที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องโดยปรับคนละ 5 เท่า ราคาฝิ่น จำคุกคนละ 2 ปี ของกลางริบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกนั้นยืน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าฝิ่นรายนี้เป็นของบริษัทไทยสามิตต์ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ควบคุมมาเท่านั้น
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปซื้อฝิ่นนี้มาจากบนดอย และนำมาบรรจุหีบที่สถานรวมฝิ่นย่อย และได้เป็นผู้ควบคุมมาจนถูกจับ หาใช่เป็นเพียงผู้รับขนส่งเท่านั้นไม่กรณีเช่นนี้ย่อมเรียกได้ว่า จำเลยเป็นผู้ “มี” ตามความในพระราชบัญญัติฝิ่นแล้ว
ส่วนคดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 รู้เห็นด้วย จึงพิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ด้วย ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น