แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสามใช้เงินแก่โจทก์จำเลยทั้งสามอุทธรณ์และฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จำเลยทั้งสามผู้เป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจะต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 150 วรรคสองประกอบตาราง 1(1)(ก) ค่าขึ้นศาลเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์หรือฟ้องฎีกาจะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้องนั้น ส่วนการคืนค่าขึ้นศาลแก่คู่ความ ศาลจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกากับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลในการยื่นอุทธรณ์และฎีกานั้น เป็นเงินคนละส่วนกัน การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นผลให้จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าวที่วางไว้ในการยื่นอุทธรณ์และฎีกาคืนจากศาลชั้นต้นได้ ส่วนค่าขึ้นศาลที่จำเลยทั้งสามต้องเสียในการยื่นอุทธรณ์และฎีกานั้น ไม่อยู่ในบังคับของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ที่ศาลจะคืนให้ได้ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิขอรับเงินดังกล่าวคืน
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินจำนวน 10,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 500,000 บาท จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ 8,394,700 บาท พร้อมดอกเบี้ยและใช้ค่าทนายความทั้งสองศาลรวม 300,000 บาท แทนโจทก์ จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยทั้งสามโดยกำหนดค่าทนายความรวม 300,000 บาท
ในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสามได้วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเงิน 568,071.66 บาท และในชั้นฎีกาจำเลยทั้งสามได้วางเงินค่าทนายความทั้งสองศาลที่ต้องใช้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นเงิน 300,040 บาท ต่อศาลชั้นต้นเมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งคืนเงินทั้งสองจำนวนแก่จำเลยทั้งสามตามคำแถลงของจำเลยทั้งสามแล้ว
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2534 จำเลยทั้งสามยื่นคำแถลงขอให้ศาลมีคำสั่งคืนเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยทั้งสามวางในการยื่นอุทธรณ์ฎีกา(หมายถึงค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ฎีกา) แก่จำเลยทั้งสามด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามได้รับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่วางไว้เพื่อใช้แก่โจทก์คืนไปจากศาลครบถ้วนแล้ว ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยทั้งสามวางไว้ในการยื่นอุทธรณ์ฎีกาครั้งละสองแสนบาทนั้น เป็นค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ฎีกาซึ่งตกเป็นของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิขอรับคืน ให้ยกคำแถลง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามใช้เงินจำนวน 11 ล้านบาทเศษ แก่โจทก์ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยทั้งสามใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 8 ล้านบาทเศษจำเลยทั้งสามฎีกาขอให้กลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งจำเลยทั้งสามผู้เป็นโจทก์ในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจะต้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 150 วรรคสอง ประกอบตาราง 1(1)(ก) ซึ่งจำเลยทั้งสามได้เสียมาศาลละ 200,000 บาทแล้ว ค่าขึ้นศาลจึงเป็นค่าธรรมเนียมอย่างหนึ่งซึ่งกฎหมายบังคับให้คู่ความที่ยื่นคำฟ้อง ฟ้องอุทธรณ์หรือฟ้องฎีกาจะต้องเสียในขณะยื่นคำฟ้องนั้น ส่วนการคืนค่าขึ้นศาลแก่คู่ความนั้น ศาลจะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าศาลไม่ยอมรับอุทธรณ์หรือฎีกา หรือศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์หรือฎีกาโดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งอุทธรณ์หรือฎีกานั้น ให้ศาลมีคำสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด ส่วนการวางเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในการยื่นอุทธรณ์ฎีกานั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ซึ่งมาตรา 247 บัญญัติให้นำมาใช้ในชั้นฎีกาด้วยโดยอนุโลม ได้บัญญัติไว้ว่า การอุทธรณ์นั้นและผู้อุทธรณ์จะต้องนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาวางศาลพร้อมกับอุทธรณ์นั้นด้วย ฯลฯ จึงเห็นได้ว่าค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และฎีกา กับเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่จำเลยทั้งสามนำมาวางศาลในการยื่นอุทธรณ์ฎีกานั้นเป็นเงินคนละส่วนกัน การที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโจทก์ จึงเป็นผลให้จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยทั้งสามจึงมีสิทธิขอรับเงินจำนวนดังกล่าวที่วางไว้ในการยื่นอุทธรณ์ฎีกาคืนจากศาลชั้นต้นได้ส่วนค่าขึ้นศาลที่จำเลยทั้งสามต้องเสียในการยื่นอุทธรณ์ฎีกานั้นไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ที่ศาลจะคืนให้ได้ จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิขอรับเงินดังกล่าวคืน…”
พิพากษายืน ค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาให้เป็นพับ