คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4603/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตาม ป.อ. มาตรา 157 นั้น มีองค์ประกอบเรื่องเจตนาพิเศษในการกระทำว่าเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่า จำเลยเจตนาจงใจไม่เสนอคำขอรับการประเมินวิทยฐานะของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงเจตนาพิเศษดังกล่าวคำฟ้องโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
แม้เดิมคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกันหรือขัดขวางมิให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น โดยไม่ส่งคำขอรับการประเมินวิทยฐานะ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กับมีคำขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 165 แต่โจทก์ขอแก้ฟ้องยกเลิกคำฟ้องเดิมทั้งหมด โดยข้อความที่แก้ไขใหม่ไม่มีข้อหาดังกล่าว จึงถือว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องในความผิดข้อหานี้
แม้ปัญหาเรื่องการบรรยายฟ้องในความผิดทั้งสองข้อหาข้างต้น มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 165, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 165 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นควรวินิจฉัยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยก่อนว่า คำฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ สำหรับข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นั้น จำเลยฎีกาว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำตามที่โจทก์กล่าวหานั้น จำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เช่นใด หรือจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นเช่นใด เห็นว่า ตามคำฟ้องดังกล่าวมีใจความเพียงว่า จำเลยเจตนาจงใจไม่ยอมเสนอคำขอของโจทก์ต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับถึงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ตามหน้าที่ของตน จนกระทั่งโจทก์ขาดสิทธิที่จะได้รับการประเมินในครั้งนี้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับการเสนอชื่อให้ได้รับการประเมินให้เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีวิทยฐานะชำนาญการ เพราะจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเท่านั้น คำฟ้องของโจทก์จึงมุ่งหมายขอให้ลงโทษจำเลยเฉพาะเหตุที่จำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เมื่อองค์ประกอบของความผิดดังกล่าวอยู่ที่เจตนาพิเศษในการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดด้วย แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าการที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น จำเลยกระทำลงด้วยเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นองค์ประกอบความผิดประการหนึ่ง คำฟ้องโจทก์สำหรับข้อหานี้จึงขาดองค์ประกอบความผิด ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 165 แม้เดิมคำฟ้องโจทก์จะบรรยายว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกันหรือขัดขวางมิให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น โดยไม่ส่งคำขอดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย แต่โจทก์ได้ขอแก้ฟ้องขอยกเลิกคำฟ้องเดิมทั้งหมด โดยข้อความที่แก้ไขใหม่ไม่มีข้อหาดังกล่าวและศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขฟ้องแล้ว ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 22 ธันวาคม 2552 จึงถือว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องในความผิดข้อหานี้ แม้ปัญหาเรื่องการบรรยายฟ้องในความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าว มิได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยย่อมยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลย เพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share