คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4602/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ได้ความว่าจำเลยที่ 3 เข้ามารับภาวะในการจัดหาเงินทุนหมุนเวียนวัสดุ และน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่มีประโยชน์ตอบแทน เพียงแต่เพื่อให้การก่อสร้างทางสำเร็จลุล่วงไปตามโครงการ จำเลยที่ 1 จะได้มีเงินชำระหนี้จำเลยที่ 3 เท่านั้น เงินและสิทธิประโยชน์ที่เหลือจากการชำระหนี้ จำเลยที่ 3 ต้องคืนแก่จำเลยที่ 1 ทั้งหมดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มิได้มีความประสงค์จะแบ่งปันกำไรกัน ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1จำเลยที่ 3 คงเป็นเพียงเจ้าหนี้เท่านั้น จึงไม่ต้องชดใช้ค่าน้ำมันตามฟ้องร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 ซื้อน้ำมันโจทก์ไปเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 353,177 บาทเพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้างทางหลวงสายกำแพงเพชร-ขาณุวรลักษบุรีแต่ได้ชำระเงินค่าน้ำมันดังกล่าวมาแล้ว 100,000 บาท ยังคงค้างอยู่อีก 253,177 บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 1 และที่ 2ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 3 ให้การว่าจำเลยที 3 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซื้อน้ำมันจากโจทก์และไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะได้ซื้อน้ำมันจากโจทก์จำเลยที่ 3 ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโจทก์ จำเลยที่ 3 ไม่มีหน้าที่ดำเนินการก่อสร้างทางของกรมทางหลวง จำเลยที่ 3 เพียงแต่สนับสนุนงานก่อสร้างและมีฐานะเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เช่นเดียวกับโจทก์ จำเลยที่ 3ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 253,177 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 16 กันยายน 2526จนกว่าจะชำระเสร็จ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 รับผิดในหนี้ที่โจทก์ฟ้องรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งรับเหมาช่วงงานก่อสร้างทางหลวงสายกำแพงเพชร-ขาณุวรลักษบุรี ได้ซื้อน้ำมันจากโจทก์ไปใช้ในการสร้างทางสายดังกล่าวและยังค้างชำระค่าน้ำมันอยู่ตามฟ้อง คดีมีข้อวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดชดใช้ค่าน้ำมันตามฟ้องร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 หรือไม่ จำเลยที่ 3 ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 ไม่ต้องร่วมรับผิดเพราะจำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 สร้างทางหลวงสายดังกล่าวเห็นว่า ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดชดใช้หนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ ก็โดยอาศัยสัญญาที่จำเลยที่ 3 ทำไว้กับจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมาย จ.14 เป็นสำคัญ ที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเอกสารหมาย จ. 14 กับจำเลยที่ 3 ก็ได้ความจากคำเบิกความของนายกิตติ ภู่รัตนากรกุล พยานจำเลยที่ 3 ว่าเดิมจำเลยที่ 1เช่าซื้อเครื่องจักรไปจากจำเลยที่ 3 แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ เมื่อจำเลยที่ 3 สืบทราบว่าจำเลยที่ 1 นำเครื่องจักรที่เช่าซื้อไปใช้ในการก่อสร้างทางหลวงสายกำแพงเพชร-ขาณุวรลักษบุรีแต่จำเลยที่ 3 ไม่ได้บอกเลิกสัญญาและยึดเครื่องจักรที่เช่าซื้อคืน เพราะนางประทุม เสียงสุวรรณ ภริยาของจำเลยที่ 2 ขอร้องให้จำเลยที่ 3 ช่วยสนับสนุนการสร้างทางหลวงสายดังกล่าวให้แล้วเสร็จคณะกรรมการของจำเลยที่ 3 เห็นชอบตามข้อเสนอดังกล่าว จึงได้ทำสัญญาฉบับนี้กันขึ้น คำเบิกความของนายกิตติดังกล่าวเจือสมกับข้อความในสัญญาข้อ 4, 5, 6, 7 และ 8 ที่เขียนไว้รวมความได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าเครื่องจักร ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อยู่กับจำเลยที่ 3 ดังนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับจำเลยที่ 3 ตามเอกสารหมาย จ.14 เพราะจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ค่าเครื่องจักรที่เช่าซื้อไปจากจำเลยที่ 3ดังที่นายกิตติเบิกความ พิเคราะห์สัญญาเอกสารหมาย จ.14โดยตลอดแล้ว จากข้อความในสัญญาข้อ 2, 10 และ 13 รวมความได้ว่าจำเลยที่ 3 ให้ความช่วยเหลือจำเลยที่ 1 โดยยอมรับภาระในการจัดหาเงินทุนหมุนเวียน วัสดุ และน้ำมันเชื้อเพลิง ให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อใช้ในการก่อสร้างทางหลวงสายดังได้กล่าวแล้วข้างต้นให้แล้วเสร็จตามโครงการ โดยจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 3เป็นผู้รับเงินค่าจ้างรวมทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆ จากกรมทางหลวงแผ่นดินแทนจำเลยที่ 1 จนเสร็จสิ้นโครงการ และเมื่อจำเลยที่ 1 ทำการก่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าวแล้วเสร็จตามโครงการแล้ว ให้เอาเงินค่าจ้างทั้งสิทธิและประโยชน์ต่าง ๆที่จำเลยที่ 3 รับไปจากกรมทางหลวงแผ่นดินหักชดใช้เงินทุนหมุนเวียนค่าวัสดุ และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่จำเลยที่ 3 จัดหาให้จำเลยที่ 1 ตามสัญญาก่อน แล้วจึงเอาไปหักใช้หนี้ให้แก่จำเลยที่ 3ยังเหลือเงินอีกเท่าไรจำเลยที่ 3 ต้องส่งคืนให้แก่จำเลยที่ 1ทั้งหมด เห็นว่า จากข้อที่ตกลงกันตามสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1ยังคงเป็นผู้ก่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าวต่อไปตามเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนจำเลยที่ 3 ที่เข้ามารับภาระในการจัดหาเงินทุนหมุนเวียน วัสดุ และน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่จำเลยที่ 1ก็ไม่มีผลประโยชน์อะไรเป็นการตอบแทน หากเพียงแต่จะได้รับชำระหนี้คืนเท่านั้นเพราะเงินและสิทธิประโยชน์ส่วนที่เหลือจากชำระหนี้แล้วจำเลยที่ 3 ต้องคืนให้แก่จำเลยที่ 1 ทั้งหมด ดังนั้นการให้ความช่วยเหลือสนับสนุนของจำเลยที่ 3 ต่อจำเลยที่ 1 ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.14 จึงเป็นเจตนาที่ต้องการให้จำเลยที่ 1ทำการก่อสร้างทางให้สำเร็จลุล่วงไปตามโครงการเพื่อจะได้มีเงินมาชำระหนี้จำเลยที่ 3 ประกอบกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1012 บัญญัติได้ว่า อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนนั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากัน เพื่อกระทำกิจการร่วมกันด้วยประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่กิจการนั้น แต่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 มิได้มีความประสงค์จะแบ่งปันกำไรกัน ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 3 คงเป็นเพียงเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1เท่านั้น เมื่อคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องชดใช้ค่าน้ำมันตามฟ้องร่วมกับจำเลยที่ 1 และที 2 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share