คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 460/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บ.ผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินของบ. ได้โอนตกมาเป็นของบริษัทโจทก์ รวมทั้งประทานบัตรรายนี้ด้วย การที่คณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้บริษัทโจทก์ถือประทานบัตรสืบเนื่องจาก บ. ก็เพราะ พ.ร.บ. การทำเหมืองแร่ พ.ศ. 2461 มาตรา 46 บัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐบาลที่จะอนุญาตในกรณีเข้าถือประทานบัตรสืบเนื่องจากเจ้าของเดิมผู้ถึงแก่กรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องโจทก์ยื่นเรื่องราวขอประทานบัตรขึ้นมาใหม่เป็นคนละรายต่างหาก บ.โจทก์จึงรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่
ผ. ทำสัญญาให้ไว้แก่ บ. ยอมให้ บ. ทำเหมืองแร่ในที่ดินของ ผ. ได้ตามเรื่องราวที่ขอประทานบัตร ต่อมา บ. ถึงแก่กรรมและบริษัทโจทก์ถือประทานบัตรนี้สืบเนื่องจาก บ. ตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดังกล่าวแล้ว ฝ่ายผ. ก็ถึงแก่กรรมและที่ดินของ ผ. ก็เป็นมรดกตกทอดแก่จำเลย โจทก์จำเลยย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของเจ้าของเดิม เมื่อจำเลยขัดขวางไม่ยอมให้บริษัทโจทก์เข้าทำเหมืองแร่ในที่ดินนี้ โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องร้องบังคับจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองแร่ดีบุกที่ตำบลฉลอง โดยได้รับโอนประทานบัตรมาจากนายบุ่นจ่าว มีสิทธิที่จะใช้ที่ดินภายในเขตประทานบัตรเพื่อประโยชน์ในกิจการเหมืองแร่ของโจทก์ เมื่อโจทก์เริ่มดำเนินกิจการ จำเลยขัดขวางไม่ยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินตอนสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้อง เฉพาะที่ดินที่จำเลยขัดขวางนี้เดิมเป็นของนานผ่าว นายผ่าวได้ทำสัญญารับรองไว้กับโลหกิจภูเก็ตแล้วว่านิยยอมให้โจทก์ดำเนินกิจการเหมืองแร่ในที่พิพาทได้ จำเลยเป็นทายาทของนายผ่าวจึงไม่มีสิทธิขัดขวางกิจการทำเหมืองแร่ของโจทก์ในที่พิพาทขอให้ห้ามมิให้ขัดขวาง
จำเลยให้การว่า เดิมที่ดินเป็นของนายผ่าว นายผ่าวตาย จำเลยได้รับมรดกแทนที่สามีซึ่งเป็นบุตรนายผ่าว คือที่พิพาทนี้ นายผ่าวจะได้เอาที่พิพาททำสัญญารับรองไว้ตามฟ้องหรือไม่ไม่ทราบ กับต่อสู้ในข้ออื่นอีก
ในการชี้สองสถาน คู่ความติดใจว่ากล่าวกันเพียง ๒ ประเด็น คือ
๑. นายผ่าวได้ทำสัญญาผูกพันกับนายบุ่นจ่าวหรือบริษัทโจทก์หรือโลหกิจจังหวัดภูเก็ตยอมให้โจทก์ดำเนินกิจการหมืองแร่ในที่พิพาทจริงหรือไม่และ
๒. โจทก์ได้รับประทานบัตรตามกฎหมายแล้ว จะมีสิทธิทำเหมืองแร่ในที่พิพาทได้หรือไม่
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาห้ามมิให้จำลยขัดขวางใสนการที่โจทก์ดำเนินกิจการทำเหมืองแร่ในที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาตามประเด็นที่คู่ความติดใจว่ากล่าวกัน ๒ ประเด็นนั้น แล้วเห็นว่า
ประเด็นข้อแรก ฟังว่านายผ่าวได้ทำสัญญาผูกพันยอมให้นายบุ่นจ่าวดำเนินกิจการเหมืองแร่ในที่ขิงตนซึ่งรวมทั้งที่พิพาทได้
ประเด็นข้อ ๒ นั้น ฟังได้ว่าเมื่อนายบุ่นจ่าวถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์สินของนายบุ่นจ่าวได้โอนตกมาเป็นของบริษัทโจทก์ การที่โจทก์ได้เป็นผู้ถือประทานบัตรรายนี้ ต่อมาจึงเป็นเรื่องที่โจทก์รับสืบเนื่องมาจากนายบุ่นจ่าวผู้ถึงแก่รกรรมตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.ศ. ๒๔๖๑ มาตรา ๔๖ หาใช่เป็นเรื่องขอประทานบัตรใหม่อันเป็นคนละรายไม่ การที่คณะรัฐมนตรีต้องเป็นผู้อนุมัติให้บริษัทโจทก์ถือประทานบัตรสืบเนื่องจากนายบุ่นจ่าว ก็เพราะกฎหมายมาตราดังกล่วนั้นบัญญัติให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีที่จะอนุญาตในกรณีนี้ต่างหาก เมื่อเป็นเรื่องโจทก์ถือประทานบัตร โดยรับโอนสืบเนื่องมาจากนายบุ่นจ่าวเจ้าของเดิม โจทก์จึงรับโอนมาทั้งสิ้นและหน้าที่ของนายบุ่นจ่าวที่มีอยู่ตามประทานบัตรนั้น สัญญาที่นายผ่าวให้ไว้แก่นายบุ่นจ่าวจึงได้ตกทอดมายังโจทก์ด้วย จำเลยผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทมาจากนายผ่าวโดยทางมรดก ก็ย่อมรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ของนายผ่าวซึ่งทำสัญญาผูกพันที่พิพาทให้ไว้แก่นายบุ่นจ่าวในอันที่ะต้องให้ความยินยอมและละเว้นไม่คัดค้านการเข้าทำเหมืองแร่ในที่พิพาทตามประทานบัตรด้วย ฉะนั้น
เมื่อโจทก์เป็นผู้สืบสิทธิอันเกี่ยวกัาบประทานบัตรนี้มาจากนายบุ่นจ่าวตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ดังกล่วาแล้ว โจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายที่นายบุ่นจ่าวมีอยู่ในประทานบัตรในนามของตนเองเอากับจำเลยได้ เมื่อจำเลยขัดขวางไม่ยอมให้เป็นไปตามข้อสัญญาเดิม โจทก์ก็มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลย
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share