แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นที่โจทก์ตั้งมาในคำฟ้องมีว่า ภริยาโจทก์ไม่มีสิทธิได้ส่วนแบ่งในสินสมรสเพราะไม่มีสินเดิม จำเลยให้การว่าภริยาโจทก์มีสิทธิได้ส่วนแบ่งเพราะมีสินเดิมดังนี้ คำให้การของจำเลยเป็นการถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองแล้วจำเลยไม่จำเป็นต้องระบุลงไปในคำให้การว่ามีทรัพย์อะไรบ้างเป็นสินเดิมซึ่งผิดกับกรณีที่มีประเด็น ขอให้หักสินสมรสชดใช้สินเดิมด้วย เพราะในกรณีหลังนี้ความสำคัญอยู่ที่ว่าอะไรเป็นสินเดิม ราคาเท่าใด มิฉะนั้นก็ให้ชดใช้กันไม่ได้การตั้งประเด็นจึงต้องระบุถึงทรัพย์ที่เป็นสินเดิมและราคา
หากโจทก์เห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยยังไม่ชัด เพื่อที่โจทก์จะได้สืบหักล้างเสียก่อนในกรณีที่โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนเช่นนี้โจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้สอบถามจำเลยในชั้นชี้สองสถานเพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ได้ เมื่อได้มีการสอบถามมัดประเด็นลงไปแน่นอนว่าสินเดิมเป็นทรัพย์อะไรแล้วคู่ความก็ต้องดำเนินการตามประเด็นที่มัดไว้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนางผิวเป็นสามีภริยากัน โจทก์มีสินเดิมนางผิวไม่มีสินเดิม ระหว่างอยู่กินด้วยกัน มีทรัพย์คือที่ดินโฉนดที่ 5086, 5252 โฉนดใส่ชื่อนางผิว นางผิวถึงแก่กรรม โจทก์ได้นำโฉนดที่ 5086 ไปขอโอนใส่ชื่อโจทก์ นายชดจำเลยร้องคัดค้าน ขอให้ลงชื่อ ด.ช.ผาสุข ด.ช.วิลัย จำเลย ทั้งนายชดจำเลยขอให้เจ้าพนักงานโอนโฉนดที่ 5252 ลงชื่อเด็กชายทั้ง 2 โจทก์ได้คัดค้าน ปรากฏว่านางผิวทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่ ด.ช.ผาสุข ด.ช.วิลัย จำเลย และให้นายชดจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก โจทก์เพิ่งทราบว่ามีพินัยกรรมของนางผิว พินัยกรรมของนางผิวเป็นพินัยกรรมปลอม ถ้านางผิวทำพินัยกรรมไว้จริง นางผิวก็ไม่มีสิทธิจะยกที่ดินทั้ง 2 แปลงให้แก่เด็กชายทั้งสอง เพราะนางผิวไม่มีสินเดิม ขอให้แสดงว่าที่ดินทั้ง 2 แปลงเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว พินัยกรรมของนางผิวไร้ผลเป็นโมฆะ
จำเลยต่อสู้ว่า ข้อฟ้องเรื่องพินัยกรรม อ้างเหตุขัดกันเป็นฟ้องเคลือบคลุม พินัยกรรมของนางผิวสมบูรณ์มีผลใช้ได้นางผิวมีสินเดิมที่ดินโฉนดที่ 5086, 5252 มีชื่อนางผิว ทั้งเป็นสินเดิมของนางผิวนางผิวจะทำพินัยกรรมยกให้ใครก็ได้
ศาลแพ่งฟังว่า ที่ดิน 2 แปลงนี้ได้รับโอนมาเมื่อโจทก์กับนางผิวสมรสกันหลายปี และฟังว่าโจทก์มีสินเดิม นางผิวไม่มีสินเดิม ที่ดินเป็นสินสมรสตกได้แก่โจทก์ผู้เดียว พินัยกรรมของนางผิวไม่ปลอมข้อกำหนดในพินัยกรรมอันเกี่ยวกับสินสมรส จึงไม่มีผลบังคับ พิพากษาว่าที่ดิน 2 แปลงเป็นของโจทก์ผู้เดียว ไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องศาลอุทธรณ์ฟังว่า นางผิวมีสินเดิม พิพากษาแก้ว่าที่ดิน 2 แปลง ดังกล่าวเป็นของโจทก์ 2 ใน 3 อีก 1 ใน 3 เป็นของ ด.ช.ผาสุข ด.ช.วิลัย ผู้รับพินัยกรรมจากนางผิว
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่โจทก์ตั้งมาในฟ้องมีว่า นางผิวไม่มีสิทธิได้ส่วนแบ่งในสินสมรสเพราะไม่มีสินเดิม จำเลยต่อสู้ว่านางผิวมีสิทธิได้ส่วนแบ่ง เพราะมีสินเดิมประเด็นที่แท้จริง ก็คือนางผิวมีสิทธิได้ส่วนแบ่งในสินสมรสหรือไม่ ข้อที่จำเลยว่ามีสินเดิมนั้นเป็นเหตุแห่งการที่จำเลยต่อสู้ว่า นางผิวมีสิทธิได้ส่วนแบ่งในสินสมรส คำให้การของจำเลยจึงเป็นการถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 แล้ว หากโจทก์เห็นว่า ข้อต่อสู้ของจำเลยไม่ชัด เพราะไม่ปรากฏว่าที่จำเลยอ้างว่านางผิวมีสินเดิมนั้น หมายถึงอะไร เป็นสินเดิมเพื่อโจทก์จะได้สืบหักล้างเสียก่อน ในกรณีที่โจทก์เป็นฝ่ายนำสืบก่อนเช่นนี้ โจทก์ชอบที่จะขอต่อศาลให้สอบถามจำเลยในชั้นชี้สองสถาน เพื่อให้ได้ความชัดในประเด็นข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183 ได้ ซึ่งเมื่อได้มีการสอบถามนัดประเด็นลงไปให้แน่นอนว่าสินเดิมเป็นทรัพย์อะไร แล้วคู่ความก็ดำเนินการตามประเด็นที่มัดกันไว้นั้น ผิดกับกรณีเรื่องขอให้เอาสินสมรสใช้สินเดิม ซึ่งความสำคัญอยู่ที่ว่าอะไรเป็นสินเดิม ราคาเท่าใด มิฉะนั้นก็ชดใช้กันมิได้การตั้งประเด็นจึงต้องระบุถึงทรัพย์ที่เป็นสินเดิมและราคาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 ที่ให้จำเลยแสดงถึง “เหตุแห่งการนั้น” หมายความเพียงไร ต้องดูรูปประเด็นเป็นเรื่อง ๆ ไป
ส่วนข้อเท็จจริง ฟังได้ว่านางผิวมีสินเดิม
พิพากษายืน