คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1064/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1,2 จำนองที่ดินแปลงหนึ่งแก่โจทก์ เมื่อจำนองแล้ว จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงนั้นไปด้วยการครอบครองปรปักษ์ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียน ดังนี้โจทก์มีสิทธิบังคับจำนองที่ดินแปลงนั้นได้ แม้ส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงนั้นตกเป็นของจำเลยที่ 3 แล้วและจำเลยที่ 3 ไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ก็ตาม ทั้งนี้เพราะสิทธิจำนองเป็นสิทธิครอบเหนือทรัพย์ทั้งหมด
เมื่อจำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนจะยกขึ้นต่อสู้ผู้รับจำนองซึ่งได้สิทธิโดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กับนายทองห่อสามีจำเลยที่ 2 จำนองที่ดินไว้กับโจทก์เป็นเงิน 21,500 บาท นายทองห่อตาย จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมรดก จำเลยที่ 3 ได้ฟ้องจำเลยที่ 1, 2 ขอให้แบ่งแยกและลงชื่อจำเลยที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนในที่แปลงนี้ศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว ให้แบ่งแยกและลงชื่อจำเลยที่ 3 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดในหนี้จำนองด้วย โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสามไถ่ถอนจำนองก็ไม่ไถ่ถอน จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามไถ่ถอนจำนอง หากไม่ไถ่ถอนก็ขอให้ยึดทรัพย์จำนองมาขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์

จำเลยที่ 1, 2 ให้การรับว่า จำนองจริง แต่ไม่มีเงินจะไถ่ถอนขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เหลือใช้แทน

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1, 2 จำนองจริง แต่เมื่อจำนองโจทก์ก็รู้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของโดยการครอบครองมาก่อนแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยยังไม่มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนด จำเลยจึงไม่ใช่คู่สัญญา และจำเลยได้ที่ดินโดยผลของกฎหมายและตามคำพิพากษาของศาล มิใช่โอนโดยนิติกรรม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องที่ดินมีกว่า 100 ไร่ เกินหนี้จำนอง โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาส่วนของจำเลยที่ 1, 2 ขอให้ยกฟ้องเฉพาะตัว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันนำต้นเงิน 21,500 บาทกับดอกเบี้ย 12,900 บาท มาไถ่ถอนจำนอง หากไม่ไถ่ถอน จึงให้ยึดที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 3 ไม่ใช่ผู้จำนอง จึงไม่ใช่ลูกหนี้โจทก์ จะบังคับให้ชำระหนี้ไม่ได้ แต่จำเลยที่ 3 ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางครอบครองและยังมิได้จดทะเบียน จึงต้องห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1, 2 ร่วมกันใช้ต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ยึดที่ดินซึ่งจำนองไว้ทั้งแปลงขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสารสำคัญของคดีในชั้นฎีกามีว่า โจทก์ผู้รับจำนองจะบังคับจำนองเอากับทรัพย์ส่วนของจำเลยที่ 3 ที่มีคำพิพากษาชี้ขาดว่าจำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์ ทั้งที่จำเลยที่ 3 มิได้เป็นลูกหนี้โจทก์ จะได้หรือไม่

ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์ที่รายนี้ไป (20 ไร่) โดยการครอบครองและยังมิได้จดทะเบียนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

สิทธิจำนองมิใช่เป็นแต่เพียงสิทธิเหนือบุคคลเท่านั้น แต่เป็นสิทธิครอบเหนือทรัพย์จำนองทั้งหมดด้วย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 716 ทรัพย์ส่วนที่จำเลยที่ 3 ได้ไปโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น เป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งของทรัพย์จำนอง โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับเอาชำระหนี้จำนองได้ จำเลยที่ 3 ต้องห้ามมิให้ยกขึ้นต่อสู้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 โจทก์ไม่จำต้องอาศัยกรรมสิทธิ์เป็นข้ออ้างก็ใช้ยันกับจำเลยได้แล้ว

ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ และโดยเหตุที่ในคำให้การของจำเลยที่ 3 กล่าวว่า ที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1, 2 มีกว่า 100 ไร่ มีค่าเกินกว่าหนี้ที่รับจำนอง โจทก์ชอบที่จะบังคับเอาส่วนของจำเลยที่ 1, 2 ก่อนนั้น มิได้มีการสืบค้นหาถึงราคาที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1, 2 ว่าพอที่จะชำระหนี้โจทก์หรือไม่ แต่เนื่องจากที่ดินแปลงนี้เป็นแปลงใหญ่ อาจแยกส่วนที่จำเลยที่ 3 ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองเป็นอีกตอนหนึ่งได้ ดังนั้น เมื่อจะขายทอดตลาดที่ดินรายนี้ก็อาจแยกที่ดินตอนที่เป็นของจำเลยที่ 1, 2 ขายไปก่อนได้ สุดแล้วแต่เหตุผลที่สมควรให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 309

Share