คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษให้ลดโทษลงเพียงใด ถึงขั้นปล่อยตัวไปก็ตาม คำพิพากษาของศาลที่กำหนดโทษไว้เดิมนั้นก็หาได้ถูกลบล้างไปไม่
การที่ศาลทหารกล่าวไว้ในคำพิพากษาให้ยกคำขอที่ขอให้กักกันจำเลยเพราะไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารนั้น หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องขอให้กักกันจำเลยต่อศาลทีมีอำนาจไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพฟังได้ว่าจำเลยเคยถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า ๖ เดือนมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งในความผิดฐานลักทรัพย์ และ(ครั้งที่ ๒) ความผิดฐานรับของโจร พ้นโทษแล้วภายใน ๑๐ ปีกลับมาทำผิดฐานวิ่งราวทรัพย์อีก และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน
จำเลยให้การว่า จำเลยรับโทษฐานรับของโจรจริง ๆ เพียง ๔ เดือนกับ ๓วันเท่านั้น เพราะได้รับพระราชทานอภัยโทษ
มีปัญหาว่าศาลจะกักกันได้หรือไม่
ศาลอาญาพิพากษาให้กักกัน
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าโทษครั้งที่ ๒ (ฐานรับของโจร) ที่พิพากษาให้จำคุก ๘ เดือนนั้น จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษ ถูกจำคุกจริง ๆ เพียง ๔ เดือนกับ ๓ วันจึงไม่เข้ามาตรา ๔๑ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ศาลฎีกาเห็นว่า การที่พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษนั้น เป็นการใช้อำนาจในทางบริหาร ซึ่งตราขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา ฉะนั้น แม้จำเลยจะได้รับพระราชทานอภัยโทษให้ลดโทษลงเพียงใดถึงขึ้นปล่อยตัวไปก็ตามคำพิพากษาของศาลที่กำหนดโทษไว้เดิมนั้น ก็หาได้ถูกลบล้างไปไม่ คงยังฟังได้ตามกฎหมายว่าจำเลยเคยต้องคำพิพากษาจำคุก ๘ เดือน
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ให้ยกคำขอให้ลงโทษกักกันแก่จำเลย เช่นนี้ ต้องฟังเป็นยุติ โจทก์จะมาฟ้องศาลอาญาอีกหาได้ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) กล่าวไว้ในคำพิพากษาว่า คำขอของโจทก์ที่ขอให้ลงโทษกักกันจำเลยนั้นไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ จึงให้ยกคำขอเสียนั้น หาตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องขอให้ลงโทษกักกันจำเลยโดยเฉพาะต่อศาลอาญาไม่ เพราะศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) ยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นเรื่องกักกันจำเลยแต่อย่างใด เป็นแต่เห็นว่าคำขอของโจทก์ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา) จึงยกคำขอของโจทก์เท่านั้น โจทก์จึงฟ้องต่อศาลอาญาซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้
พิพากษายืน

Share