แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขับรถยนต์ชนรถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลย ฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่จำเลยถูกฟ้องไว้ คดีเฉพาะตัวจำเลยศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลย การที่จำเลยขอให้เรียกเจ้าของรถยนต์คันอื่นเข้ามาเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของรถยนต์คันดังกล่าว ไม่ใช่ความประมาทของจำเลยนั้น หากศาลอนุญาตให้เรียกก็จะเท่ากับเป็นการยอมรับให้จำเลยนำสืบโต้แย้งว่าเหตุที่รถยนต์ชนกันครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของจำเลย ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิจะกระทำเช่นนั้นศาลจึงชอยที่จะไม่อนุญาตให้เรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า นายใหม รูใหม ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์บรรทุกยี่ห้ออีซูซุหมายเลขทะเบียน ข.ก.09543 ไปจากโจทก์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2522 ระหว่างที่นายใหมยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบตามสัญญาและรถยนต์คันดังกล่าวยังเป็นของโจทก์นายไลหรือบัวไร รูใหม ขับรถคันดังกล่าวจากจังหวัดมหาสารคามไปจังหวัดร้อยเอ็ดครั้นไปถึงหลักกิโลเมตรที่ 85-87 ได้มีจำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุก10 ล้อ คันหมายเลขทะเบียน ร.อ.02822 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 แล่นสวนทางด้วยความประมาท ปราศจากความระมัดระวังแซงรถบรรทุกซุงที่จอดอยู่ริมทางด้วยความเร็วสูง แล้วเสียหลักพุ่งเข้าชนรถของโจทก์ ทำให้รถโจทก์เสียหาย และมีคนได้รับอันตรายสาหัส จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องคดีอาญาและให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์เสียค่าซ่อมและค่าอะไหล่เป็นเงิน 74,530 บาท จำเลยที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า เหตุที่รถยนต์ชนกันครั้งนี้มิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 เพราะรถบรรทุกซุงหมายเลขทะเบียน ช.ย.01702 จอดขวางหน้าในช่องทางเดินรถของจำเลยที่ 1 ในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาณหรือเปิดไฟท้ายจำเลยที่ 1 เป็นรถคันดังกล่าวในระยะกระชั้นชิดมาก จึงหักหลบไปทางขวาเป็นเหตุให้ชนกับรถของโจทก์ ถือว่าเป็นความประมาทของคนขับรถบรรทุกซุง จำเลยที่ 1จึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายไม่เกิน 30,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เรียกนายดิลก ด่านกิตติกุลเจ้าของรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ช.ย.01702 เข้ามาเป็นจำเลยร่วม อ้างว่าเหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของรถคันดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกนายดิลกเข้ามาเป็นจำเลยร่วม โจทก์กับนายดิลกคัดค้าน ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว และมีคำสั่งใหม่ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 74,530 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว พิพากษายืน และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนไม่ให้นายดิลกเจ้าของรถยนต์บรรทุกซุงเช่ามาเป็นจำเลยร่วมตามคำร้องของจำเลยที่ 1 เป็นการไม่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ชนกัน จึงเป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ที่จำเลยที่ 1 ถูกฟ้อง ซึ่งคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ศาลจำต้องถือตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 โดยจะต้องฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุมีรถยนต์บรรทุกซุงคันหนึ่งจอดอยู่ริมถนน และเหตุที่รถยนต์ชนกันครั้งนี้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 แต่ฝ่ายเดียวตามคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว จำเลยที่ 1 จะต่อสู้คดีและนำสืบโต้แย้งเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้หากศาลชั้นต้นอนุญาตให้เรียกนายดิลกเจ้าของรถยนต์บรรทุกซุงเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ยตามคำร้องของจำเลยที่ 1 เท่ากับเป็นการยอมรับให้จำเลยที่ 1นำสืบโต้แย้งว่า เหตุเกิดรถชนกันครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายตน แต่เป็นความผิดของคนขับรถบรรทุกซุงที่จอดรถในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาณไฟตามที่จำเลยที่ 1อ้างมาในคำร้อง